Note 20 / Ultra vs S20 / Ultra ที่ใคร ๆ ก็พูดกันว่ามันคือ S20 Ultra เพิ่มปากกา แต่มันมีอะไรต่างกันจริง ๆ บ้างมาดู!
#GalaxyTH #Note20Ultra #พี่อาร์ต
เป็นธรรมเนียมของคนที่ซื้อเครื่องรีวิวเอง ไม่เอาเครื่องทดสอบจากเจ้าของผลิตภัณฑ์ เพราะเราจะได้ไม่ต้องเกรงใจ พูดอะไรได้ตามผลลัพธ์จริง และแน่นอนว่าจะออกรีวิวได้ช้ากว่าชาวบ้านหลายสัปดาห์
เลยต้องแก้คันด้วยการทำสงครามบนกระดาษ วิเคราะห์ และ “มโน” หาจุดที่จะต้องทดสอบในมุมของผมก่อนได้เครื่องจริง 19 สิงหาคมนี้
คลิปแรกเชียร์ Note 20 Ultra 5G เพราะเป็นตัวจบที่แท้ทรู แต่สำหรับคนที่เห็นว่ามันเกินความจำเป็น (จริง ๆ สำหรับผมก็เกินความจำเป็นเหมือนกัน 555) ลองดูคลิป ป้ายยา Note 20 ตัวธรรมดาดูบ้าง
Note 20 vs Note 20 Ultra
คำถามแรกเลย….ซื้อตัวไหนดี มีรุ่นยิบย่อยมากมาย มีสเปคแตกต่างกันหลายอย่าง ดูรีวิวหลายเจ้าแล้วแอบลังเล
แนะนำง่าย ๆ ครับ Galaxy Note 20 Ultra 5G รุ่นความจุ 256 กิ๊ก ราคา 42,900 บาท คือตัวจบที่แท้จริง เพราะได้ของคุณภาพดีกว่า Note 20 ตัวธรรมดา แค่ได้แรมเยอะกว่าก็จบแล้ว
และควรซื้อตัว 5G เผื่ออนาคต ยิ่งเวลาขายต่อยิ่งสำคัญ เพราะกว่าเราจะขายก็คงปีหน้า และปีหน้า 5G น่าจะครอบคลุมมากว่าปีนี้จนเป็นสาระสำคัญให้คนที่มองหามือถือเครื่องใหม่ต้องมี 5G ส่วนความจุ เพิ่มเมมฯ เอาก็ได้ ซื้อเมมฯ แรงหน่อย จบแล้วไม่ต้องไปเอา 512 กิ๊ก ประหยัดไปครึ่งหมื่น
ด้วยการผูกสัญญากับค่ายมือถือ เช่น ผูกสัญญา 1,299 บาทต่อเดือน ราคาเครื่องเหลือ 31,400 ถือว่าพอรับได้ แต่หากจำเป็นต้องจ่ายราคาเต็ม แนะนำให้รอราคาลงกว่านี้ก่อนก็ยังได้ ไม่ต้องรีบ
แล้วทำไมไม่แนะนำ Note 20 ตัวธรรมดา?
อันดับแรกเลยคือ ผมว่ามันแพง!!! เทียบราคา กับสิ่งที่ได้มา ทั้งวัสดุพลาสติค หน้าจอ FullHD เพิ่มแมมฯ ไม่ได้ แถมไม่รองรับ 5G ในราคา 29,900 บาท พอจะเอา 5G ขยับไป 33,900 บาท ราคาแรงเกินไป
แต่ถ้างบไปไม่ถึง Note 20 Ultra จริง ๆ และอยากได้ Exynos 990 + กล้องชุดเดียวกับ S20+ ผมว่าก็ได้อยู่ในงบประมาณขนาดนี้ เพราะปากกา S Pen นั้นมันหาตัวอื่นมาแทนไม่ได้จริง ๆ
เอาตัว LTE หรือ 5G ดี?
เอาตามงบเลยครับ ถ้าต้องพยายามเพิ่มงบไปเล่น Note 20 5G ก็อย่าเลย แม้อนาคต 5G จะสดใส แต่อนาคตเราสำคัญกว่า เลือกรุ่นในงบประมาณที่รู้สึกว่าเราสบายตัว ไม่กดดันมาก พูดตรง ๆ นะ ถ้าคุณไม่ใช่คนใช้เน็ตแรงแบบบ้าพลัง 4G วันนี้ใช้งานเพียงพอแล้วครับ
นอกจากคนจะลังเลว่าควรจะเอา Note 20 หรือ Note 20 Ultra ดีแล้วนั้น อีกมุมนึงคงไม่พ้น เอาซีรียส์ Note หรือ S ดี
Samsung Galaxy Note 20 Ultra 5G vs S20 Ultra 5G
จริง ๆ ตอบง่ายมากว่าเอาถ้าจะเอาปากกาก็ต้อง Note 20 Ultra 5G สิ ถ้าไม่เอาปากกาก็เอา S20 Ultra 5G ก็ได้ ประหยัดเงินไปอีก
แต่….มันไม่ง่ายแค่นั้น เพราะหากคนเน้นกล้อง มันมีความน่าสนใจตรง Note 20 Ultra เค้าเปลี่ยนจาก ToF Camera มาเป็น Laser Focus ที่ “เชื่อว่า” จะแก้ปัญหาโฟกัสของ S20 Ultra อันโด่งดังได้ ดังนั้นต้องบอกว่า Note 20 Ultra คือความหวังใหม่
ส่วนอื่น ๆ มีอะไรแตกต่างกันบ้างมาดูกัน
ตัวเครื่อง
- ขนาดพอ ๆ กัน แต่ Note 20 ultra เบากว่าเล็กน้อย
- หน้าจอจากสเปคเหมือนจะไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ในด้านความละเอียด แต่ Note 20 Ultra ใช้กระจก Gorilla Glass 7 แข็งแรงกว่า S20 Ultra ที่เป็น Gorilla Glass 6
- ความสว่างหน้าจอ Note 20 Ultra สเปคสว่างกว่าที่ 1500 nits เทียบกับ S20 ultra ที่ได้มา 1200 nits
- Refresh rate 120Hz แบบไม่สุด คือ ต้องลดความละเอียดเหลือ FHD+ จึงจะใช้ได้เหมือนกัน แต่ Note 20 Ultra มาพร้อม Adaptive Refresh rate คือ ระบบจะตรวจจับแอปฯ ที่ใช้ แล้วปรับค่าให้เองตั้งแต่ 30 – 120Hz ตามความเหมาะสม เพื่อประหยัดแบตฯ ไปในตัว แต่ในทางกลับกัน ไม่สามารถตั้งเป็น 120Hz ตลอดเวลาเหมือน S20 Ultra ทำได้แค่ 60Hz ตลอดเวลา ซึ่งอาจขัดใจหลาย ๆ คน
- แบตฯ ที่ได้มาน้อยกว่าคือ 4,500 มิลิแอมป์ กับซีพียู Exynos 990 ที่ขึ้นชื่อเรื่องกินแบตฯ และ ร้อนง่าย คงต้องพิสูจน์กันอีกที เพราะด้วยระบบหน้าจอ Adaptive refresh rate จะช่วยได้แค่ไหน
- ระบบชาร์จเร็วที่ลดลงจาก 45w เหลือ 25w อันนี้ก็ยังงง ๆ ว่าลดเพื่ออะไร แต่ส่วนตัวบอกตรง ๆ ไม่ได้สน เพราะปกติก็ไม่ได้ใช้ 45w
ประสิทธิภาพ
- ความเร็ว ความร้อน แบตเตอรี่ คงไม่ต่างกันมาก แม้จะมี “ข่าวลือ” และ “ข่าวปล่อย” ว่า Samsung ปรับปรุงประสิทธิภาพของ Exynos 990 ให้ดีขึ้น แต่บอกตรง ๆ ถ้ามันปรับได้ขนาดนั้น คนที่ใช้ S20 Ultra คงจะดีใจ เพราะน่าจะได้ใช้เหมือนกัน
- สิ่งที่น่าสนใจคือ การลดแรมจาก 12 กิ๊ก ใน S20 Ultra เหลือแค่ 8 กิ๊ก ใน Note 20 Ultra แต่อัพเกรด ROM หรือ หน่วยความจำในตัวเครื่องจาก UFS 3.0 เป็น UFS 3.1 ที่เขียน-อ่านได้เร็วขึ้นนั้น การทำงานจะใช้แรมน้อยลง ดังนั้นแรม 8 กิ๊ก ไม่น่าจะให้ความรู้สึกในการใช้งานต่างกันเท่าไหร่นัก แต่บอกตรง ๆ เครื่องราคา 42,900 บาท ให้ 12 มาเลยเหอะ คงจะรู้สึกดีกว่านี้
ปากกา S-Pen
จุดนี้เทียบกันไม่ได้ เพราะ S20 Ultra ไม่มี และคนที่ชอบใช้ปากกา Samsung Galaxy Note เป็นตัวจบอย่างแท้จริง คงเลือกแค่ว่าจะเอา Note 20 ธรรมดา หรือ Ultra หรือ จะใช้ Note 10+ ต่อไป
Note 20 Ultra มาพร้อมการตอบสนองที่เร็วขึ้นจาก 43ms เป็น 9ms พร้อมฟังค์ชั่นใหม่โบก ๆ แกว่ง ๆ และย้ายช่องเก็บจากขวามาซ้าย แอบไม่ถนัด แต่มันติดชุดกล้องมหึมาจริง ๆ
หากใช้ Note 10+ ยังไม่ถึงปี ผมว่าใช้ไปก่อน ไม่ต้องรีบอัพเกรดก็ได้ นอกจากมีความรู้สึกว่าปากกามันเขียนไม่ทันใจ ก็ลองไปยืนเล่นหน้าช้อปพิจรณาดูว่า 9ms มันโดนใจหรือไม่ค่อยตัดสินใจ แต่หากใครใช้ Note 10+ มาตั้งแต่เปิดตัว ผมว่าน่าจะได้เวลาอัพเกรดปากกา S-Pen แล้วหล่ะ
กล้องหลัง
- ตัวหลักใช้ชุดเดิมคือ 108 ล้าน แล้วทำ Pixel Binning เป็น 12 ล้าน ได้ซุปเปอร์พิกเซล เจ้าปัญหาที่หาความมั่นใจในการโฟกัสค่อนข้างยาก แม้เฟิมแวร์ล่าสุดจะแก้มาดีมาก ๆ แล้วก็ตาม แต่ยังมีภาพหลุดโฟกัสออกมาให้เห็นเป็นระย ซึ่ง Note 20 Ultra ปรับมาใช้เลเซอร์ช่วยโฟกัสแทน โดยจากรีวิวเมืองนองจำพวก “เครื่องยืมทดสอบ” ทุกเครื่องทำงานได้ดีมาก ๆ เหมือนตอนทดสอบ S20 Ultra ของจริงเป็นไง รอการพิสูจน์จาก “เครื่องขายจริง”
- เลนส์ Ultrawide ใช้ชุดเดิมของ S20 Ultra เช่นกัน โดยเลนส์ชุดนี้ทำงานได้ดีไม่มีปัญหาใด ๆ สวยงามหายห่วง
- ชุดซูมที่เปลี่ยนไป จาก Periscope 48 ล้าน แล้วซูมได้ 100 เท่า แบบเป็นวุ้นใน S20 Ultra ตอนนี้ใช้ชุดเลนส์เดิม แต่เปลี่ยนชุดเซนเซอร์เป็น 12 ล้านฯ และลดลงเหลือซูม 50 เท่า ซึ่งจากการทดสอบมาทุกยี่ห้อ ผมว่า 30 เท่าเป็นระยะที่ “คนปกติ” ใช้งานได้จริง ดังนั้นปีนี้ตอนรีวิวน่าจะไม่ได้จิกกัดเรื่องซูมเหมือนก่อน
รีวิวกล้อง S20 Ultra >>>> พิสูจน์ Samsung S20 Ultra เฟิมแวร์ใหม่แก้ไขกล้องหรือยัง?
กล้องหน้า
S20 Ultra 5G ใช้เซนเซอร์ 40 ล้านฯ ขนาด 1/2.65 นิ้ว หรือ 9.58 มม. พิกเซลขนาด 0.7 ไมครอน ใช้เทคโนโลยี Pixel Binning 2×2 ให้ได้ผลลัพธ์ขนาด 10 ล้านฯ และได้ Super Pixel ขนาด 1.4 ไมครอน แต่ได้เต็ม 10 ล้านฯ ต้องใช้โหมด ultrawide แต่ถ้าถ่ายแบบ wide ธรรมดา ระบบจะครอปลงมาเหลือ 6.5 ล้านฯ
ผลงานจริงเห็นแล้วจากรีวิว และ Sunday Coffee ที่ตามทดสอบตลอดช่วงการอัพเดทเฟิมแวร์ที่ผ่านมา ซึ่งผมว่ากล้องหน้ามันหลอก ๆ แปลก ๆ ชอบกล
ในส่วนของ Note 20 Ultra ที่กลับมาใช้กล้องหน้า 10 ล้านฯ เต็ม ๆ ไม่ต้องทำ Pixel Binning แล้วใช้พิเซลขนาด 1.22 ไมครอน บนเซนเซอร์เล็กลงที่ 1/3.2″ หรือประมาณ 8.9 มม. ของ S20+ นั้น ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะตามสเปค คือ โดนลดขั้น แต่จากประสบการณ์รีวิว S20+ แม้ลึก ๆ จะรู้สึกว่า 40 ล้านฯ ต้องดีกว่าตามประสาตัวเลขมากย่อมดีกว่า แต่การใช้งานภาพนิ่ง และวีดิโอ ทำออกมาได้ดี และมั่นใจกว่าตอนใช้ S20 Ultra 5G มากทีเดียว
Note 20 Ultra จะมีการปรับปรุงด้านซอฟท์แวร์อะไรให้ใช้งานดีกว่าใน S20+ บ้าง คงต้องรอเครื่องขายจริงมาทดสอบให้ดูอีกครั้ง
Samsung Galaxy Note 20 vs S20+
หากคุณอยากได้ปากกา กับกล้องชุดเดียวกับ S20+ ในราคาที่ถูกกว่า S20+ ที่ราคาเปิดตัว 31,900 บาท (แต่ตอนนี้ข่าวว่า S20+ ราคาลดลงแล้ว) ถือว่าคุ้มค่าอยู่ตรงได้ปากกา ไม่ต้องคิดมาก จัด Samsung Note 20 ไปเลยครับ ฝาหลังพลาสติคก็ช่างมัน ถือซะว่าเดี๋ยวใส่เคสก็ไม่รู้เรื่องแล้ว
แต่ไม่ได้เน้นปากกาอะไรมากมาย หรือคิดจะขยับจาก Note 10 หรือ Note 10+ ในปีก่อน บอกเลยไม่จำเป็น เพราะ Exynos 990 ไม่ได้หวือหวาขนาดนั้น ผมว่า Note 10 ปีก่อน ใช้ยาวถึงปีนี้สบาย ๆ ซึ่งต้องบอกว่าทางซัมซุงเองก็พยายามให้มือถือของตัวเองแต่ละรุ่นใช้ได้ยาวนานขึ้น สร้างภาพลักษณ์เดียวกับ iPhone ที่ซื้อแล้วใช้ยาว ๆ หรือขายต่อคนก็ยังเอาไปใช้ได้อีก ไม่ใช่ปีนึงแล้วช้า แล้วหน่วงเหมือนสมัยก่อน
ตัวเครื่อง
- Note 20 ด้านหลังเป็นพลาสติค ได้อารมณ์ก๊องแก๊ง แต่หากไม่คิดมาก และชอบใส่เคสคงไม่มีปัญหาอะไร ดีซะอีกที่เครื่องจะทนกว่ากระจก
- เทียบฟิลลิ่งกับ S20+ แล้ว ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก แต่ส่วนตัวชอบการออกแบบชุดกล้องของ Note 20 มากกว่า และภาพรวมดูไฮเอนกว่า (คหสต)
- หน้าจอความละเอียดสู้ S20+ ไม่ได้แบบน่าเสียดาย เรือธงอย่างซีรียส์ Note ไม่น่าจะมีจอ FHD+ แล้วนะ เสียงเชิงมาก แต่เอาจริง ๆ เวลาผมซื้อ S20 Ultra มาใช้ก็ใช้หน้าจอแค่ FHD+ อยู่ดี 555
- แบตฯ น้อยกว่า S20+ แต่หน้าจอละเอียดน้อยกว่า น่าจะกินไฟน้อยกว่า
ประสิทธิภาพ
- ด้วยการยกชุดใส้ในของ S20+ มายัดใส่ Note 20 เต็ม ๆ ความเร็ว ความร้อน แบตเตอรี่ การใช้งานต่าง ๆ คงเหมือนกัน ซึ่งจากการทดสอบ S20+ ใช้งานน่าพึงพอใจกว่า S20 Ultra 5G มากทีเดียว ไม่เจอปัญหาร้อน หรือ แบตฯ ร่วง ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
- ด้านแรมนั้น ทั้ง LTE และ 5G ให้มาเท่ากันที่ 8 กิ๊ก หน่วยความจำเพิ่มไม่ได้ แต่ S20+ เพิ่มหน่วยความจำได้
ปากกา S-Pen
จุดนี้เทียบกันไม่ได้เหมือนเคย เพราะ S20 ไม่มีปากกา และคนที่ชอบใช้ปากกา Samsung Galaxy Note เป็นตัวจบอย่างแท้จริง คงเลือกแค่ว่าจะเอาเอา Note 10+ ที่ราคาตอนนี้ลงมาถูกมาก ๆ แทน
ส่วนที่โปรโมทเรื่องความหน่วงของปากกาตัวใหม่ที่ลดลงเหลือ 9ms นั้น เป็นตัว Note 20 Ultra ที่ได้อานิสสงจากหน้าจอ 120Hz ส่วนตัว Note 20 ธรรมดานั้นลดลงมาที่ 26ms ซึ่งก็ถือว่าเร็วแล้วหล่ะ แค่บอกให้ฟังว่ามันไม่ใช่ 9ms
คนรักปากกาคงไม่ต้องพูดอะไรมาก มันเขียนดีกว่า Note 10+ ปีก่อน มันได้ฟีเจอร์เยอะกว่าปีก่อน
กล้องหลัง – กล้องหน้า
ยกชุดมาจาก S20+ ทั้งหมด เรียกได้ว่าร่างจำแลง S20+ แถมปากกา แล้วตัด ToF Camera ที่ใช้วัดความลึกของวัตถุออกไป
กล้องหน้าหายห่วง ส่วนกล้องหลังยังแอบสงสัยว่าไม่มี ToF แล้วผลงานจะเป็นอย่างไร โหมดหน้าชัด-หลังละลายจะเนียนได้เหมือนเดิมหรือไม่ งานวีดิโอจะเจ๋งเท่า S20+ มั๊ย? และหากมันด้อยลง มันด้อยลงไปในระดับที่รับได้กับการได้ปากกามาใช้ ในราคาเครื่องที่ถูกกว่าหรือไม่
ส่วนตัวเชื่อว่าคุ้มค่ากับการแลกปากกา กับ ToF Camera แต่หากเลือกได้ เปิดราคามาเท่า S20+ ที่ 31,900 บาทก็ได้ แต่ขอ ToF คืนมาก ก็นับว่าคุ้มแล้ว เพราะเรื่องหน้าจอพี่ไม่ติดใจอะไรมาก
รีวิว Samsung S20+ >>> รีวิวกล้อง Samsung S20+ ของดีที่ไม่ค่อยมีใครพูด พร้อมเทียบ iPhone 11
ก็หวังว่าบทความนี้พอจะไขข้อข้องใจ และ ทำให้สบายใจในรุ่นที่จะเลือกใช้งานได้ตรงตามความต้องการ และ งบประมาณที่สบายใจที่จะจ่าย เพราะทุกรุ่นดีหมดเลย หากการใช้งานไม่จำเป็นต้องเอารุ่นแพงสุด ซื้อรุ่นรองลงมาย่อมดีกว่าครับ
ราคา และ รุ่นย่อยที่วางจำหน่ายในประเทศไทย
Samsung Galaxy Note 20 มี 3 สี คือ Mystic Bronze, Mystic Grey และ Mystic Green
- รุ่น LTE RAM 8 กิ๊ก หน่วยความจำ 256 กิ๊ก ราคา 29,900 บาท
- รุ่น 5G RAM 8 กิ๊ก หน่วยความจำ 256 กิ๊ก ราคา 33,900 บาท
Samsung Galaxy Note 20 Ultra มี 2 สี คือ Mystic Bronze กับ Mystic Black
- รุ่น LTE RAM 8 กิ๊ก หน่วยความจำ 256 กิ๊ก ราคา 38,900 บาท
- รุ่น LTE RAM 8 กิ๊ก หน่วยความจำ 512 กิ๊ก ราคา 42,900 บาท
- รุ่น 5G RAM 12 กิ๊ก หน่วยความจำ 256 กิ๊ก ราคา 42,900 บาท
- รุ่น 5G RAM 12 กิ๊ก หน่วยความจำ 512 กิ๊ก ราคา 46,900 บาท
_________________________________________________
ฝากกดติดตามเพจ www.facebook.com/xenonartpage
และ ช่องยูทูปเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ
https://www.youtube.com/user/artxenonart