ใครที่มองหารถ Benz GLA W156, CLA W116 และ A Class W176 มือสองแล้วอยากหาข้อมูลการซ่อมบำรุง พร้อมจุดอ่อนประจำรุ่น หรือ มีรถอยู่แล้ว 

#Vlogเรื่องรถกับพี่อาร์ต #พี่อาร์ต #รถมือสอง #Howto #ซ่อม #Benz #W156 #W117 #W176

Mercedes Benz ได้เปิดตัว MFA Platform ซึ่งเป็นแนวคิดการใช้พื้นฐานตัวรถร่วมกับบน Chasis เดียวกัน เพื่อให้การออกแบบ การผลิตง่ายขึ้น สามารถออกรุ่นรถใหม่ได้หลากหลายรองรับความต้องการของตลาดมากขึ้น

และรุ่นที่ใช้ MFA Platform ชุดแรก และวางขายในประเทศไทย คือ

  1. A Class รหัสรถ W176 เริ่มวางจำหน่ายในปี 2012 – 2018 (facelift ปี 2015)
  2. CLA รหัสรถ W117 เริ่มวางจำหน่ายในปี 2013 – 2019 (facelift ปี 2016)
  3. GLA รหัสรถ W156 เริ่มวางจำหน่ายในปี 2014 – 2020 (facelift ปี 2017)

หลัก ๆ ทั้ง 3 รุ่นนี้จะมีเครื่องยนต์ในประเทศไทยหลัก ๆ  3 รุ่น

คือ รุ่น xxx180, xxx200 และ xxx250 ซึ่งทั้งหมดใช้เครื่องยนต์พื้นฐานเดียวกันคือ เครื่องยนต์รหัส M270 ต่างกันที่ความจุ หรือ cc และ แรงม้าเท่านั้น โดยแบ่งเป็นดังนี้

A180 และ CLA180

  • เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ 1600cc Turbo
  • ให้กำลัง 122 แรงม้า
  • แรงบิด 200 นิวตันเมตร

A200, CLA200 และ GLA200

  • เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ 1600cc Turbo
  • ให้กำลัง 154 แรงม้า
  • แรงบิด 250 นิวตันเมตร

A250, CLA250 และ GLA250

  • เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ 2000cc Turbo
  • ให้กำลัง 211 แรงม้า
  • แรงบิด 350 นิวตันเมตร

ทั้งหมดประกบกับเกียร์อัตโนมัติ 7G-DCT ระบบ Dual Clutch

การดูแลรักษาเครื่องยนต์

จริง ๆ แล้วเครื่อง M270 นี้ มันคือเครื่อง M274 ที่วางอยู่ใน E Class, C Class และ E Coupe รุ่นหลัง ๆ ที่ได้ชื่อว่า ทน ถึก ซ่อมง่าย ปัญหาน้อย โดย Benz เค้าใช้เครื่อง M274 มาปรับบางส่วนเพื่อให้เป็นเครื่องสำหรับรถขับเคลื่อนล้อหน้า แล้วเปลี่ยนรหัสเครื่องเป็น M270

ดังนั้นเรื่องความทน ความถึก ความซ่อมง่ายบอกเลยหายห่วง การดูแลรักษาหลัก ๆ เหมือน E Class W212 / W213 / W207 รวมถึง C Class W204 ตัวสุดท้าย และ W205 อีกด้วย

แต่จุดอ่อนประจำรุ่นของเครื่อง M270 คือ ระบบ Camtronic ที่เป็นระบบปรับองศาแคมในฝั่งวาล์วไอดีให้เปิดมาก เปิดน้อยตามรอบการใช้งาน ตามความต้องการของเครื่องยนต์ เพื่อให้ได้กำลังสูงสุดพร้อมกับประหยัดน้ำมันสูงสุด 

เท่าที่คุยกับช่าง และ ร้านอะไหล่มา พบว่าเครื่อง xxx200 พบปัญหาแคมฝั่งไอดีเป็นรอย แต่ xxx250 ไม่พบปัญหา และบางอู่บอกว่า xxx250 ไม่มีระบบ Camtronic มาเลยไม่มีปัญหา

หากใครเสีย เบิกแท้ของใหม่เฉพาะแคมชาฟฝั่งไปดีราคา 4 – 5x,xxx บาท

อีกจุดที่ช่างพบบ่อยคือ หัวฉีดเสีย ซึ่งเป็นหัวฉีดไฟฟ้า มักจะเกิดกับรถใช้น้อย ในขณะที่รถใช้งานปกติไม่ค่อยพบปัญหาหัวฉีดทำงานผิดปกติ 

ดังนั้นใครครอบครองอยู่ หมั่นสตาร์ท หมั่นขับบ้างนะครับ รถสายจอดไม่ว่าจะยี่ห้อใดก็ตาม มักจะเสียอะไรประหลาด ๆ กว่ารถใช้งานปกติมากนัก ยิ่งเป็นพวกไฟฟ้ายิ่งเสียง่ายกว่ารถใช้งาน

นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ เช็ครั่วซึมรอบตัวเครื่อง เปลี่ยนปะเก็นที่เสื่อมสภาพต่าง ๆ ซึ่งประเก็นชิ้นนึงก็พันกว่าบาท

เช็คท่อน้ำ ท่อเบนซินไหลกลับหลังท่อไอดี คอน้ำ สายพาย มู่เล่ย์สายพาน ซึ่งราคาใกล้เคียงกับพวก E Class และ C Class

ส่วนจุดที่ผมชอบเปลี่ยนในเครื่อง M274 คือ สกรูแป๊ปเทอร์โบ ที่เราเปลี่ยเป็นรุ่นใหม่ มีวาล์วอยู่ด้านในนั้น เจ้าเครื่อง M270 นี้กลับไม่ต้องครับ เพราะตัวนี้ไม่มีสกรูแป๊ปเทอร์โบ เค้าปรับมาใช้ O-Ring แทน ใช้ทั้งหมด 6 ตัว ตัวละร้อยกว่าบาท (เบิกแท้)

ส่วนมากช่างที่ชำนาญเค้าจะเปลี่ยนตอนเปลี่ยนปั๊มน้ำ เพราะจะได้รื้อไปทีเดียวเลย

ระบบน้ำก็ไม่มีอะไรซับซ้อน วาล์วน้ำเป็นวาล์วน้ำไฟฟ้า ราคา 6 – 7,xxx บาท ส่วนปั๊มเป็นปั๊มธรรมดาลูกนึง 10,xxx บาท หม้อน้ำ เลือกใช้ของ aftermarket อย่าง Mahle หรือ Nissens ราคาไม่แพงครับ 4,xxx บาท โดยประมาณ

สรุปโดยรวมแล้ว เครื่อง M270 ขับเคลื่อนล้อหน้าไม่มีอะไรจุกจิกมากนัก จะมีที่ต้องระวังก็แค่แคมชาร์ฟฝั่งไอดีของรุ่น xxx 200 ระบบ Camtronic เท่านั้น อื่น ๆ อะไหล่ราคาไม่แพง มีตัวเลือกยี่ห้อ aftermarket มากมาย ราคาไม่แพง

นอกจากเครื่องแล้ว ระบบเกียร์ ตัวนี้ใช้ 7G-DCT ซึ่งความยากมี 2 ส่วนคือ

  1.  อาการเสียมักจะเป็นแค่แผงเกียร์เสีย แต่ถ้าเบิกศูนย์ Benz เค้าจะขายเป็นเซ็ทพร้อมกล่องสมองเกียร์ ราคาแสนกว่าบาท แต่หากซื้อของหิ้วยังพอหาซื้อเฉพาะแผงเกียร์ได้ในราคา 5 – 6 หมื่นบาท หรือ จะวัดดวงแบบสุด ๆ ด้วยการสั่งขอจีนราคาหมื่นกว่าบาท แต่ยังติดเงื่อนไขที่ 2 คือ ต้องเสียบคอมฯ เพื่อเซ็ทอัพเกียร์ใหม่
  2. พอเค้าเป็นเกียร์รุ่นใหม่ ระบบซอฟท์แวร์ยังมีคนเข้าถึงได้น้อยมาก ปัจจุบันวันที่เขียนบทความนี้คนรับทำอยู่ครั้งละหมื่นกว่าบาท

ทำให้ค่าใช้จ่ายกรณีแผงเกียร์เสียจะอยู่ประมาณ 7 หมื่นบาท (ของหิ้ว) หรือ 4 หมื่นบาท (ของจีน ที่ไม่รู้จะจบหรือเปล่า) 

ดังนั้นเท่าที่คุยกับอู่นอกมา เค้ามักจะแนะนำลูกค้าให้ไปเข้าศูนย์ พร้อมประกันเลยคุ้มกว่า

ส่วนพวกของเหลวก็เหมือนกับเบนซ์ตัวอื่น ๆ ครับ

  • ถ่ายน้ำมันเครื่องใช้ 6 ลิตร ลิตรละ 5 + 6xx บาท
  • ไส้กรองน้ำมันเครื่อง 4 – 5 ร้อยบาท
  • น้ำมันเกียร์เบนซ์แท้ ตรงสเปคเกียร์ 7G-DCT ใช้ประมาณ 6 – 7 ลิตร ลิตรละ 7xx บาท
  • ไส้กรองเกียร์ใช้ 2 ลูก ลูกเฉลี่ย 1,xxx บาท
  • กรองอากาศ 1,xxx บาท
  • กรองห้องโดยสาร มีตั้งแต่ตัวถูกไม่ถึงพัน จนถึงตัวแพงหน่อย 1,xxx บาท

เรียกได้ว่าการรีเซ็ทของเหลวเวลาซื้อรถมือสอง ตกประมาณ 1x,xxx บาท ส่วนการเช็คระยะรอบ 10,000 ในอนาคตถ่ายเพียงน้ำมันเครื่อง เช็คไส้กรองอากาศเท่านั้น ตกครั้งนึงไม่เกินหมื่นบาท 

ช่วงล่าง ระบกันสะเทือน

ช่วงล่างของ GLA, CLA และ A Class นี่ง่ายเลย เพราะปีนกใช้เหมือนกันทั้ง 3 รุ่น โดยหลัก ๆ ที่ซ่อมกันคือ ระบบกันสะเทือนหน้า ที่ประกอบด้วย ปีกนกหน้า เพียงชิ้นเดียว

ต่างกับเบนซ์รุ่นอื่น ๆ ที่ซับซ้อนกว่า มีปีกนกบน ปีกนกล่างตัวหน้า ปีกนกล่างตัวหลัง ลูกหมากกันโคลง ทว่าเจ้าตัวนี้ใช้ปีกนกรูป 3 เหลี่ยม มีชุดลูกหมากในปีกนก 3 จุด แล้วจบเลยครับ

ปีกนกตัวนึง 7,xxx บาท เปลี่ยนยกระบบก็แค่ 2 ตัว ราคาประมาณ 15,xxx บาทเท่านั้น โดยทั้ง 3 รุ่นใช้ปีกนกตัวเดียวกัน

สิ่งที่แตกต่างในระบบช่วงล่างคือ โช้คอัพ

โช้คอัพ A Class และ CLA ใช้ตัวเดียวกัน แต่ GLA เป็นรถทรง Compact SUV ตัวโช้คจะยาวกว่าจึงเป็นคนละเบอร์กัน

กรณี A Class + CLA ของติดรถเป็น SACHS ถ้าเราซื้อ SACHS ในตลาดตอนนี้ ราคาจะอยู่ที่

  • โช้คอัพหน้า คู่ละ 10,xxx บาท
  • โช้คอัพหลัง คู่ละ 6,xxx บาท

ซึ่งโช้คอัพ SACHS แอบเนียนตรงที่ให้มาแต่โช้คอัพในราคาไม่รุนแรง แต่ไม่ครบชุดนะ เราต้องซื้อยางกันกระแทก ปลอกยางกันฝุ่น และ อุปกรณ์ส่วนควบต่าง ๆ เพิ่มเพื่อให้ครบชุด

ราคายกชุดตีง่าย ๆ อยู่ที่ประมาณ 21,xxx บาท

ส่วน GLA ณ. วันที่ทำบทความนี้ โช้คอัพจะมีให้เลือก 2 ยี่ห้อ คือ SACHS และ BILSTEIN โดยราคาดังนี้

SACHS

  • โช้คอัพหน้า คู่ละ 11,xxx บาท
  • โช้คอัพหลัง คู่ละ 7,xxx บาท

และเช่นเคยครับ SACHS มาไม่ครบชุด ต้องซื้ออุปกรณ์ส่วนควบเพิ่ม ทำให้ราคายกชุดตีกลม ๆ จะอยู่ที่ ประมาณ 23,000 บาท

BILSTEIN

  • โช้คอัพหน้า คู่ละ 15,xxx บาท
  • โช้คอัพหลัง คู่ละ 9,xxx บาท

เห็นราคาแรงกว่า SACHS แต่ BILSTEIN เอาจริง ๆ เค้ามาครบชุดพร้อมปลอกยางกันฝุ่น ยางกันกระแทก และ อุปกรณ์ควบ ทำให้ไม่ต้องซื้ออะไรแล้ว อีกทั้งเท่าที่สังเกตุ BILSTEIN ในบ้านเราทุกวันนี้ยัง made in Europe 100% แต่ SACHS ส่วนมากเห็นเป็น made in China หรือ อะไรแถว ๆ นี้เกือบหมดแล้ว อันนี้ก็แล้วแต่ชอบครับ

ราคา BILSTEIN ครบชุดอยู่ที่ 25,xxx บาท

ซื้อตัวไหนดี?

สำหรับคนที่สนใจรถกลุ่มนี้ บอกตรง ๆ ว่าเล่นได้ทุกรุ่นย่อย เอาตามที่ชอบเลย แต่ถ้าถามผมแบบให้ฟันธง ผมแนะนำให้เลือกรุ่น 250 เอาไว้ก่อนเพราะจากข้อมูล ณ. วันนี้ตัวแคมยังไม่มีปัญหา ลดความเสี่ยงไปแล้ว 50,000 บาท แถมได้พละกำลังสูงถึง 211 แรงม้า ในตัวถังแบบ Compact บอกเลยขับสนุกมาก ไม่ต้องกดคันเร่งเยอะรถก็พุ่งยานไปข้างหน้า

จากนั้นเอางบมาตั้ง แล้วเลือกปีใหม่ที่สุดกับสภาพที่ถูกใจคุณที่สุด ส่วนไมล์นั้นเอาปีมาหาร เฉลี่ยที่ 20,000 กม. ต่อปี ถือว่ารถใช้งานปกติ โดยทั้ง 3 รุ่นนี้เปิดตัวไล่กันมาตั้งแต่ ปี 2012 – A Class, 2013 – CLA และ 2014 – GLA ตอน Facelift ก็ไล่ปีกันไปตามลำดับเช่นกัน

ถ้าเจอรถสภาพดี ราคาได้ รถถูกโฉลก แต่ไม่ใช่ xxx250 เล่นได้มั๊ย น่ากลัวมั๊ย …บอกเลยครับ ว่าเล่นได้หายห่วง อย่าไปกังวลกับเรื่องแคมฯ ฝั่งไอดีมากนัก เพราะเอาจริง ๆ ข้อมูลนี้เป็นเพียงสิ่งที่ช่างสัมผัสได้ว่าซ่อมบ่อย แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องซ่อมทุกคัน

ส่วนจะเลือก A Class, CLA หรือ GLA ก็อยู่ที่ว่าชอบทรงคันไหน เพราะสมรรถนะ การขับขี่แทบไม่ต่างกันนัก การนั่งทั้งด้านหน้า และ ด้านหลัง ผมมองว่าแทบไม่ต่าง แนะนำตัดสินใจจากที่บ้านก่อน ดูรูปเยอะ ๆ ว่าชอบหน้าตาคันไหน เลือกได้แล้ว ค่อยไปดูคันจริง แล้วไปลองนั่งอีกทีก่อนตัดสินใจก็ได้ 

สำหรับอู่ต่าง ๆ ที่ผมเข้าใช้บริการ ได้รวบรวมเอาไว้ในบทความนี้ครับ

รวมรายชื่ออู่ที่พี่อาร์ตแนะนำ ซ่อม Benz, BMW

_____________________________________________

ฝากกดติดตามเพจ www.facebook.com/xenonartpage

และ ช่องยูทูปเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ

https://www.youtube.com/user/artxenonart

About the author

xenon_art

บล็อคเกอร์กวน ๆ อารมณ์ดี ขี้บ่นบ้างอะไรบ้าง ชอบเขียนเรื่องสมาร์ทโฟน กิน เที่ยว และ ของเล่น เขียนบทความเป็นงานอดิเรก

twitter: @xenon_art
Instagram: xenon_art