สนใจ Benz C Class มือสองอยู่หรือไม่

ก่อนจะซื้อต้องรู้อะไรบ้าง แล้วหากซื้อมาแล้วต้องดูแลจุดไหนบ้าง วันนี้จะมาเล่าให้ฟัง จะได้เตรียมตัวถูก เพราะเราทำรถให้เป็นรถ ไม่ใช่ทำรถให้เป็นภาระ

#Vlogเรื่องรถกับพี่อาร์ต #พี่อาร์ต #รถมือสอง #Mercedes #Benz #W205 #รถมือสอง #Howto

Mercedes Benz C Class ที่เราจะคุยกันในวันนี้เป็นรุ่นรหัส W205 เปิดตัวและขายในไทยครั้งแรกในปี 2014 จนมาออกโฉม Facelift ในปี 2018 และ ขายจนถึงปี 2021

C Class ตัวนี้ออกมาแทนตัวเก่า รหัส W204 ที่ต้องบอกว่าปรับปรุงขึ้นมาเยอะมาก รถหรูหราขึ้น การขับขี่นุ่มนวลแต่เกาะถนน ไม่สะเทือนเหมือนเดิม ที่สำคัญเครื่องใช้ตัวปรับปรุงจากตัวเก่า ปัญหาน้อยลงเยอะมาก ๆ

พร้อมกับหน้าตาทันสมัยแบบนี้ นับเป็น C Class ที่ควรค่าในการครอบครองครับ

Mercedes Benz C-Class W205 Time line

2014

  • เปิดตัว วางจำหน่ายครั้งแรก 2 รุ่นคือ  C180 Exclusive และ C250 AMG Dynamic เป็นรถนำเข้าทั้งคัน (CBU) 

2015

  • เริ่มขายรุ่นประกอบในประเทศ (CKD) ตัดฝาท้ายไฟฟ้า พร้อม 3 รุ่นย่อย คือ C200 Avantgarde, C300 BlueTec Hybrid Exclusive และ C300 BlueTec Hybrid AMG Dynamic  โดยมีออฟชั่นแตกต่างกันในแต่ละรุ่น คร่าว ๆ คือ
    • Avantgarde ได้ไฟหน้า LED High Performance (ลูกแก้วลูกเดียว)
    • Exclusive ได้ เบาะเมมโมรี่ เพิ่มมา 
    • AMG ได้ไฟหน้า LED Intelligent (ลูกแก้ว 2 ลูก) เพิ่ม

2016 เปิดตัวเพิ่มอีกหลายรุ่นดังนี้

  •  C350e Plug-in Hybrid ทั้ง Exclusive และ AMG Dynamic
  • มีการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ C350e Avantgarde มาแทนที่รุ่น C200 เดิม
  • มีการเปิดตัวรุ่น C43 AMG 4Matic Coupe (3.0 L M276 twin-turbo V6)

2018 – Facelift

  • ออกขายรุ่น Facelift พร้อมเครื่องยนต์ดีเซล คือ C220d Diesel Avantgarde, Exclusive และ AMG Dynamic (มี AdBlue) โดยจะได้ออฟชั่นต่างกันคร่าว ๆ ดังนี้
    • Avantgarde ได้ไฟหน้า LED High Performance (LED สี่เหลี่ยมเต็มแผง) เบาะสีดำ
    • Exclusive และ AMG ได้ไฟหน้า LED Intelligent (LED สี่เหลี่ยม + ลูกแก้ว) และ เบาะเมมโมรี่ และมี เบาะสีครีมเพิ่มมา
    • AMG Dynamic มีเบาะแดง และ ได้ลำโพง Burmester

2019 

  • C220d Avangarde
  • รุ่น C220d Exclusive เลิกจำหน่าย
  • C220d ได้รับการเพิ่มระบบ Mercedes Me Connect เหมือนรุ่นอื่น ๆ

2020

  • เปิดตัว C300e AMG Sport ทำราคาประหยัดลงกว่า C350e

2021

  • ปีสุดท้ายของ W205 ก่อนวางขายรุ่นใหม่ W206

ก่อน Facelift vs Facelift ต่างก้นตรงไหน

หลัก ๆ ด้านนอกสังเกตุง่าย ๆ คือ ไฟหน้า

โดยไฟหน้ารุ่นก่อน Facelift จะมี 2 ตัวคือ ไฟหน้า LED High Performance สังเกตุง่าย ๆ จะมีลูกแก้วลูกเดียว และ Intelligent LED ตัวท๊อป จะมีลูกแก้ว 2 ลูก

ซึ่งไฟหน้า Intelligent LED จะมาในรุ่น C300 BlueTec Hybrid และ AMG Dynamic

พอเป็น Facelift เค้าเปลี่ยนมาใช้เป็น LED High Performance แบบสี่เหลี่ยมเต็มโคม กับ MULTIBEAM LED ตัวท๊อป ที่จะมี LED สี่เหลี่ยมผสมลูกแก้ว 1 ลูก

โดยรุ่น Avantgarde จะได้ไฟหน้าแบบ LED High Performance และ Exclusive กับ AMG จะได้ Multibeam LED

ภายในมีการเปลี่ยนพวงมาลัยใหม่ ดูต่างจากเดิมไม่มาก ซึ่งผมว่าสวยพอ ๆ กัน และอีกจุดที่เด่นมากคือ หน้าปัทม์เรือนไมล์เปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งสี และ การแสดงผล

ส่วน AMG จะได้จอ TFT แบบดิจิตอลแทนแบบเข็มรวมไปถึงหน้าจอคอมมานด์ที่ปรับปรุงขึ้น ใช้จอขนาดใหญ่กว่าเดิม มีการเพิ่ม Me Connect แต่ส่วนอื่น ๆ แทบไม่ต่างกัน

อัพเดทข้อมูลจากเพื่อนในคอมเม้นต์

คุณ Car Story

เรื่องAdblue จะเจอตั้งแต่ C300 blutechybrid ลอตC250 – C300 blutechybrid CBU ปี2014 จะไม่มีฝาท้ายไฟฟ้าครับ และจะมีจดหมายRecall คือ ขอบยางที่ประตู4บาน เปลี่ยนเป็นสักกะกลาด (C250 – C300 bluetechybrid (CKD)) และ Recall ในเรื่อง Vaccum Pump break ในรุ่นดีเซล ครับ

คุณ MON MAI

ไฟหน้า Facelift มันต่างกันตรง Option ไฟหน้าครับ ซ้ายเป็นLED High performance (ไฟLEDปกติ) อยู่ในC220d AV(2018-2020) / GLC 220d Off-road(2021) /GLC 220d 4MATIC Coupe(2021)

ขวาเป็น MULTIBEAM LED (Adaptive LED) อยู่ในW205 C220d AMG / C300e AMG (FL) / C200AMG (FL) / AMG C43 (FL) ครับ

ถ้าC W205 ตัวก่อน FL ที่ได้ไฟ Optio nสูงสุดจะเป็น intelligent light system ครับ

รายการที่ซ่อมบ่อยดังนี้

ช่วงล่างหน้า

เป็นเรื่องปกติของรถยนต์ทุกรุ่นที่ช่วงล่างควรได้รับการดูแล ทั้งการวิ่งในถนนเมมืองไทยนั้น ช่วงล่างจะพังเร็วกว่าคนอื่น สำหรับช่วงล่างหน้า W205 นั้น พัฒนามาจาก W204 เยอะ โดยปีกนก และ บูชยางต่าง ๆ ใหญ๋ขึ้นกว่าเดิม เพิ่มเติมคือมีการเพิ่มปีกนกบนมาด้วย

ทำให้การขับขี่นุ่ม กระชับ คมกว่าเดิม แต่ก็แลกมากับรายการอะไหล่ที่รุนแรงกว่าเดิม

  1. ปีกนกบน ประมาณ 5 – 6,000 บาาท
  2. ปีกเหล็ก 4,xxx บาท
  3. ปีกนกอลูมิเนียม 5,xxx บาท
  4. ลูกหมากกันโคลง ตัวละ 3,xxx บาท
  5. เหล็กกันโคลง 12 – 13,xxx บาท
  6. โช้คอัพคู่ละ 1x,xxx บาท

โดยรวม หากจะพูดง่าย ๆ คือ ถ้าช่วงล่างพังทั้งระบบ แต่โช้คอัพไม่เสีย ต้องเตรียมเงินไว้ประมาณ 3 หมื่นบาท ซึ่งสำหรับผมถือว่าโอเคมาก ๆ เพราะเห็นขนาดปีกนกแล้ว ใหญ่ไม่อาย E Class กันเลยทีเดียว

จะสังเกตุว่าผมใช้คำว่า “กว่าบาท” หมดเลย เพราะช่วงที่เขียนบทความนี้ ตลาดโลกอยู่ในสภาวะราคาไม่แน่นอนจากพิษสงคราม ปัญหาพลังงาน และค่าขนส่งที่สูงขึ้นหลายเท่าตัว ทำให้ราคามีการปรับขึ้นตลอดเวลา เรียกว่าถ้าวันนี้ไม่ซ่อม วันหลังมาซ่อมแพงกว่าเดิม

ช่วงล่างหลัง

W205 มีสิ่งพิเศษหน่อยนึงตรงที่ยางเต้าคานชอบเสีย ซึ่งอาการนี้ใน W204 เจอไม่บ่อยในรถอายุเดียวกัน โดยยางเต้าคานหลังจะมีทั้งหมด 4 ตัว

ราคารวมค่าแรงเปลี่ยนทั้งระบบไม่เกิน 15,xxx บาท

เครื่องยนต์เบนซิน

เครื่อง M274 เบนซินตัวนี้ ค่อนข้างทน เพราะพัฒนาจากตัวก่อนเยอะมาก สิ่งที่ต้องดูแลเบื้องต้นก็เช็ครั่วซึมทั่วไป เช็คท่อน้ำว่าเสื่อมหรือยัง สายพาน มู่เล่ย์สายพาน ซื้งเป็นการตรวจพื้นฐาน

  1. สายพายแท้ 2,xxx บาท
  2. ลูกรอกตัวตั้ง 3,xxx บาท
  3. ลูกรอกตัวตาม 1,xxx บาท

อีกจุดที่เสียบ่อยของรถเบนซ์เครื่องเบนซิน ยังคงเป็นปั๊มแรงดันสูง ที่ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงป้อนเข้าหัวฉีด จะเรียกว่าจุดอ่อนก็ไม่เชิง เพราะของพวกนี้ใช้งานหนัก ทำงานตลอดเวลา ถึงเวลา ถึงอายุมันก็ต้องเปลี่ยน 

High Pressure Pump / ปั๊มแรงดันสูง ราคา สองหมื่นกว่าบาท

ระบบน้ำ – เนื่องด้วยรถยุโรปเจนเนอเรชั่นนี้เกือบทุกยี่ห้อ เริ่มหันมาใช้ปั๊มน้ำไฟฟ้า โดยปั๊มไฟฟ้ามีความแม่นยำสูงกว่า ทำงานได้ดีกว่า แต่ถ้าเสียก็จะราคาแพงกว่า อีกทั้งไม่สามารถตรวจก่อนเสียได้ เพราะมันคือเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดหนึ่ง เวลามันจะเสียมันก็เสียเลยครับ

อาการคือ ความร้อนขึ้นไปแตะ 120 องศา หรือ เต็มเกจความร้อนที่หน้าปัทม์ หากใครมีอาการนี้ก็เรียกรถสไลด์ เอาเข้าอู่เปลี่ยน โดยการเปลี่ยนควรเปลี่ยนทั้งระบบ คือ

  1. ปั๊มน้ำ หมื่นกลาง ๆ 
  2. วาล์วน้ำ 

อีกอาการคือ ออยคูลเลอร์แตก ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่เชิงเป็นจุดอ่อน อะไรที่เกี่ยวกับการระบายความร้อน มันจะเสื่อมเสียตามสภาพอยู่แล้ว ที่สำคัญตัวนี้ราคาไม่แพง ออยน้ำมันเครื่องราคาประมาณ 6 – 7 พันบาท

ระบบแอร์

ระบบแอร์ของเครื่องเบนซินตัวนี้อายุการใช้งานก็ทั่วไปครับ ถ้าจะเสียราคาอะไหล่ประมาณนี้

  1. คอมเพรซเซอร์แอร์ 16 – 18,xxx บาท
  2. รังผึ้งแอร์ 6,xxx บาท
  3. ตู้แอร์ (คอยล์เย็น) รวมวาล์ว โอริง ยกชุดรวมค่าแรงก็ 18,xxx – 19,xxx บาท

นอกจากจุดที่เสียบ่อยแล้ว อะไหล่อื่น ๆ ก็จะเป็นการเสื่อมเสียตามสภาพ และความโชคร้ายของแต่ละท่านครับ

เครื่องยนต์ดีเซล

เครื่องดีเซล ณ. วันที่ทำบทความนี้เจออาการหลัก ๆ ก็พวกน้ำมันรั่วซึม เพราะแรงดันในตัวเครื่องสูงกว่าเครื่องเบนซิน ออยคูลเลอร์น้ำมันเครื่องรั่ว ซีลฐานกรอง ซีลยางฝาวาล์ว ซีลยางอ่างน้ำมันเครื่อง เรียกว่าเก็บรั่วซึมยกชุดประมาณ 2 – 3 หมื่นบาท

พวกสายพานหน้าเครื่องก็ 2,xxx บาท แต่ลูกรอกตัวตั้ง ณ. วันที่ทำบทความนี้ยังไม่ค่อยเสีย จะเสียบ่อยกว่าก็ชุดลูกรอกสายพาน ตัวละ 950 บาท ใชัทั้งหมด 3 ตัว

ช่วงล่าง เหมือนกับตัวเครื่องเบนซิน ด้งนั้นใช้ราคาด้านบนอ้างอิงได้

  1. ปีกนกบน ประมาณ 5 – 6,000 บาาท
  2. ปีกเหล็ก 4,xxx บาท
  3. ปีกนกอลูมิเนียม 5,xxx บาท
  4. ลูกหมากกันโคลง ตัวละ 3,xxx บาท
  5. เหล็กกันโคลง 12 – 13,xxx บาท
  6. โช้คอัพคู่ละ 1x,xxx บาท
  7. ชุดยางเต้าคานหลัง รวมค่าแรง 15,xxx บาท

ระบบแอร์ แม้จะใช้คนละเบอร์กับเครื่องเบนซิน แต่ราคาไม่หนีกัน สามารถอ้างอิงราคาจากเครื่องเบนซินได้

  1. คอมเพรซเซอร์แอร์ 16 – 18,xxx บาท
  2. รังผึ้งแอร์ 6,xxx บาท
  3. ตู้แอร์ (คอยล์เย็น) รวมวาล์ว โอริง ยกชุดรวมค่าแรงก็ 18,xxx – 19,xxx บาท

C300 BlueTec Hybrid

ตัวนี้เป็นเครื่องดีเซล + ไฟฟ้า ที่เป็นอีกตัวที่บอกเลยว่า “เป็นลม” ในเรื่องการซ่อมบำรุงเมื่อรถถึงระยะ เพราะนอกจากการซ่อมบำรุงที่เหมือนเครื่องดีเซลด้านบนแล้ว จะต้องเพิ่มในส่วนของระบบ Hybrid รวมถึงอะไหล่บางตัวที่ใช้คนละเบอร์กับของเครื่องดีเซล ได้แก่

  • คอมเพรซเซอร์ แอร์รุ่นไฮบริด ราคา 7x,xxx บาท
  • Inverter ระบบ Hybrid ประมาณ 2xx,xxx บาท เบิกศูนย์ และต้อง online ก่อนใช้งาน

นอกจากนี้ระบบช่วงล่างถ้าเป็นถุงลม ก็จะใช้อะไหล่ต่างกับเครื่องน้ำมันล้วน และใช่ W205 ครับระบบถุงลมขั้นเทพระบบเดียวกับที่อยู่ใน S Class ที่ให้ความนุ่มสบาย แต่เกาะถนนในย่านความเร็ว จะทิ้งโค้งเร็ว ๆ แรง ๆ เจ้าระบบถุงลมก็ช่วยดัน ช่วยประคองรถให้อยู่ในการควมคุมแบบไม่เหนื่อย มันคือระบบที่ผลิตโดยผู้ผลิตเดียวกับระบบช่วงล่าง Porsche นั่นเอง

  • โช้คอัพถุงลมตัวละ 2x,xxx บาท
  • ปีกนก ตัวละ 2x,xxx บาท

ลูกหมากชิ้นอื่น ๆ ผมหมดแรงเช็คราคาแล้วครับ เอาเป็นว่าใครเสียก็ต้องซ่อมไปตามนั้น

C350e Plug-in Hybrid

ตัวนี้พื้นฐานเป็นเครื่องเบนซิน M274 เพิ่มเติมคือ ระบบไฟฟ้า แบบชาร์จไฟได้ (Plug-in) ดังนั้นการดูแลพื้นฐานของเครื่องก็เหมือนกับตัวเบนซินทั่วไป เพิ่มเติมคืออะไหล่ที่เกี่ยวข้องกับระบบ Plug-in Hybrid ซึ่งยกตัวอย่างคร่าว ๆ เช่น

  • คอมเพรซเซอร์ แอร์รุ่น Plug-in Hybrid ราคา 6x,xxx บาท
  • Inverter ระบบ Hybrid ประมาณ 2xx,xxx บาท เบิกศูนย์ และต้อง online ก่อนใช้งาน

ระบบช่วงล่างถ้าเป็นระบบถุงลมก็เหมือนกันครับ

  • โช้คอัพถุงลมตัวละ 2x,xxx บาท
  • ปีกนก ตัวละ 2x,xxx บาท

ควรซื้อรุ่นไหน

ถ้าถามแบบกว้าง ๆ ว่าซื้อรุ่นไหนดี 

ก็ขอตอบแบบกว้าง ๆ ว่า รุ่นไหนก็ได้ จะก่อน facelift หรือ facelift แล้วก็ได้ เอาตามงบประมาณที่มี ขออย่างเดียว เลี่ยงพวก Hybrid และ Plug-In ครับ เน้นน้ำมันล้วน ดีเซล เบนซินได้หมด

C180 บอกเลยว่าซื้อมาทำคอนเท้นต์ ลองขับดู ไม่อืดเลย ขับสนุกมาก นี่ถ้าทำท่อ แล้วจูน สงสัยวิ่งระเบิด แต่ถ้างบเยอะ และหารถได้ C200 แรงยิ่งกว่า

เครื่องดีเซล C220d เล่นได้ ไม่จุกจิกพอกับเบนซิน อันนี้แล้วแต่สไตล์คนนะครับ ส่วนผมชอบเบนซินมากกว่า เพราะเครื่องเดินเงียบกว่า จูนได้สนุกกว่า แต่แน่นอนครับ ดีเซลประหยัดกว่า

ถ้าถามผมตอนนี้ว่าให้ซื้อเข้ามาประจำการในบ้านจริงจัง ไม่เน้นคอนเท้นต์ ก็คงเอาตัวก่อน facelift เครื่องเบนซินครับ

ส่วนเพื่อน ๆ ชอบรุ่นไหนกันบ้าง และมีแนวทางในการแต่งอย่างไร แวะมาแชร์ไอเดียกันได้ที่หน้าเฟสบุ๊คเพจเหมือนเคยครับ

สำหรับอู่ต่าง ๆ ที่ผมเข้าใช้บริการ ได้รวบรวมเอาไว้ในบทความนี้ครับ

รวมรายชื่ออู่ที่พี่อาร์ตแนะนำ ซ่อม Benz, BMW

_____________________________________________

ฝากกดติดตามเพจ www.facebook.com/xenonartpage

และ ช่องยูทูปเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ

https://www.youtube.com/user/artxenonart

About the author

xenon_art

บล็อคเกอร์กวน ๆ อารมณ์ดี ขี้บ่นบ้างอะไรบ้าง ชอบเขียนเรื่องสมาร์ทโฟน กิน เที่ยว และ ของเล่น เขียนบทความเป็นงานอดิเรก

twitter: @xenon_art
Instagram: xenon_art