Toyota Estima รหัสตัวถัง ACR50 รถตู้ 7 ทื่นั่งขนาดกลางที่คล่องตัว และ ราคามือสองจับต้องง่ายรุ่นนี้ เวลาจะซื้อต้องดูอะไรบ้าง ต้องเตรียมเงินซ่อมเท่าไหร่จบ
#พี่อาร์ตเอง #toyota #estama #used #maintenance #ค่าซ่อม #รถมือสอง
โตโยต้า เอสติม่า เป็นรถตู้แบบ 7 ที่นั่ง ที่เล็กกว่ารถตู้ปกติ แต่ใหญ่กว่า โอ่โถงกว่ารถเก๋ง ด้วยราคาเปิดตัวป้ายแดงเกือบสามล้านบาท ที่มาพร้อมกับความหรูหรา สะดวกสบาย ขับแล้วมีศักดิ์ศรีไม่ต่างกับรถตู้ยอดฮิตสาย JDM อย่าง Toyota Alphard / Velfire
แต่สิ่งที่ได้มาคือ ขนาดตัวรถที่ชับง่ายกว่า หลังคารถที่เตี้ยกว่า ทำให้ไปไหนมาไหนคล่องตัว จะเข้าลานจอดรถแคบ ๆ ก็ไม่มีปัญหา ที่สำคัญจุดพีคคือ เบาะหลังที่พับลงไปซ่อนในพื้น ทำให้สามารถเลื่อนเบาะกลางถอยไปได้แบบสุด ๆ อีกทั้งไม่เกะกะสายตาเวลาขับขึ่เหมือนพวก Alphard ที่ยกเบาะแถว 3 แขวนเอาไว้
ใครที่สนใจรถรุ่นนี้ และ Google มาเจอบทความนี้พร้อมความใจร้อนอยากรู้คำตอบว่าจะซื้อดีหรือไม่ ผมบอกได้เลยว่า หลังจากใช้งานเป็นรถประจำบ้าน ไปไหนมาไหนทั่วไปหมด มันเป็นรถที่ให้คนรถขับก็นั่งสบาย วันไหนขับเองก็สะดวก เครื่องยนต์มีกำลังพอดี ไม่อืด แต่ก็ไม่ได้แรงอะไร เหมาะสมกับขนาดตัวรถ เครื่องยนต์ 2AZ-FE ตัวเดียวกับ Camry และ Alphard / Velfire ทำให้ซ่อมบำรุงง่าย อะไหล่เยอะมาก อีกทั้งใช้อะไหล่เครื่อง และ ช่วงล่างเกือบทุกจุดร่วมกับ Alphard / Velfire ANH20 ได้เลย
มันเป็นรถที่ใช้ดีมาก ผมซื้อมาใช้แล้วไม่ผิดหวังเลย แต่มันมีจุดไหนควรระวัง แล้วค่าซ่อมเท่าไหร่ เชิญชมคลิป หรือ อ่านบทความต่อได้เลย
Estima รุ่นตัวถัง ACR50 ที่เราคุยกันในบทความนี้ มีอายุร่วม 15 ปีแล้ว โดยตั้งแต่เอาเข้ามาขายในบ้านเราตั้งแต่ราวปี 2007 จนถึงปัจจุบันปี 2021 แล้วยังไม่ได้เปิดตัวรุ่นใหม่อีกเลย ทำให้ Estima ACR50 นี้ยังถือเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดอยู่
มีทั้งเครื่องเบนซิน และ แบบไฮบริด ซึ่งตัวรถมีข้อสังเกตุง่าย ๆ คือโลโก้ตัว E ที่กระจังหน้าจะเป็นสีน้ำเงิน และกันชนมักจะมีช่องใต้โลโก้บนกระจังหน้า อย่างไรก็ตาม บทความนี้ขอพูดเฉพาะรุ่นเบนซิน 2.4 เท่านั้น โดยเครื่องเบนซินจะแบ่งออกเป็น 3 หน้า
หน้าแรกเปิดตัวประมาณปี 2006 – 2007 ตอนนี้ราคามือสองบ้านเราเริ่มต้นที่ห้าแสนกลาง ถึงหกแสนปลาย ขึ้นอยู่กับสภาพความสมบูรณ์ของตัวรถ
หน้าที่ 2 ปีประมาณ 2012 ที่ปรับโฉมชุดกันชนหน้า ไฟหน้าทั้งหมด รวมถึงไฟท้าย ภายในยังเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนลายไม้ใหม่ ปัจจุบันราคามือสองอยู่ล้านต้น ๆ
หน้าที่ 3 ปีประมาณ 2016 ยกเครื่องท่อนหัวทั้งหมด รวมไฟหน้า กันชนหน้า แก้ม และ ไฟท้าย รวมถึงภายในที่เปลี่ยนคอนโซลใหม่ พร้อมวัสดุหุ้มเบาะใหม่ให้ทันสมัยขึ้น ปัจจุบันมือสองมีคนขายน้อยมาก เพราะคนที่หันมาซื้อหลังปี 2016 ที่เป็นหน้าใหม่นี้ ตัองเป็นคนรักจริง ๆ เพราะช่วงนั้นกระแส Estima ไม่ฮิต แถมราคาเท่ากัน คนนิยมซื้อ Alphard มากกว่า
รู้จักตัวรถคร่าว ๆ กันไปแล้ว ทีนี้เวลาจะหาซื้อมือสองให้ดูอะไรบ้าง
เครื่องยนต์
สตาร์ทเครื่อง ฟังเสียงว่าเสียงปกติหรือไม่ มีเสียงเขก เสียงกริ๊ก ๆ ผิดปกติหรือไม่ หากไม่รู้ยังไงเรียกปกติ ลองไปหาแคมรี่ หรือ Alphard ลองฟังได้ เสียงมันจะไม่แห้ง ๆ เหมือนคนเจ็บคอครับ อธิบายยาก ไปดูในคลิปด้านบนประกอบแล้วกัน
ดูขอบเครื่องสะอาด ไม่มีรอยน้ำมันเยิ้มก็สบายใจได้เปาะหนึ่ง โดยเครื่อง 2AZ-FE ตัวนี้อายุหลายปีหน่อย ข้อต่อพวกสามทางของท่อน้ำชอบกร่อน สายพาน และลูกรอกดันสายพานก็จะเสียตามอายุ
ช่วงล่าง
รุ่นนี้จะมีจุดอ่อนตรงเฟืองคอพวงมาลัยที่เป็นพลาสติค ที่ชอบแตก ทำให้เวลารถวิ่งบนทางขรุขระจะมีเสียงกุก ๆ อาการหนักหน่อย แค่ขึ้นลูกระนาดเสียงก็จะดังออกมาจากคอพวงมาลัยช่วงก้านไฟเลี้ยวแล้ว เวลาซ่อมจะน่าโมโหมาก เพราะค่าเฟีองตัวนี้สาม สี่ร้อยบาท แต่ต้องรื้อคอนโซลหน้ามาเกือบทั้งหมด ค่ารื้อโดนไปหลายพัน ดังนั้นหากใครมีอาการนี้ ให้วางแผนรื้อคอนโซลทีเดียวทำหลาย ๆ อย่าง ประหยัดค่าแรงหน่อย
แรคพวงมาลัยก็ชอบเสีย เวลารถจอดเฉย ๆ ลองขยับพวงมาลัย จะมีช่วงฟรีเยอะหน่อย และ จะมีเสียงกุก ๆ ทั้งตอนจอด ตอนวิ่ง ยิ่งเจอถนนขระขรุก็จะมีเสียง ดังนั้นเวลาเข้าอู่ ส่วนมากเค้าจะซ่อมให้จบทีเดียว คือ ทั้งแรคพวงมาลัย และ เฟืองคอพวงมาลัย ทำเสร็จอยู่ได้อีกประมาณเฉลี่ย 3 ปี (ขึ้นอยู่กับการใช้งาน)
แรคพวงมาลัย มีทั้งเบิกใหม่ (ของหิ้ว) ประมาณหมี่นกว่าบาท หรือใช้ชุดซ่อมราคาตั้งแต่สี่พันกว่าบาท ไปถึงเกือบแปดพัน เลือกเอา
ช่วงล่างลูกหมากต่าง ๆ ไม่ค่อยเสีย ถึงจะเสียก็ตามอายุ ไม่นับเป็นจุดอ่อนของตัวรถ แต่ส่วนที่น่ารำคาญคือ พวกยางกันฝุ่นโช้คอัพ เบ้าเช็คอัพ รวมถึงลูกปืนเบ้าโช้คอัพ ที่ชอบเสีย จะเปลี่ยนโช้คใหม่ เจ้าโช้คก็จะไม่ให้พวกนี้มาด้วย ต้องซื้อแยก
เดิมจะเบิกของ Toyota จากวรจักร ราคาชุดนึง 4 ล้อ ประมาณเกือบห้าพ้นบาท เดี๋ยวนี้โชคดีมีของ KYB ผลิตในไทย โดยเป็นโรงงานที่ร่วมทุนกันระหว่าง สยามกลการ และ Kayaba Japan คุณภาพดีครับ ผมใช้มาปีนึงแล้ว ไม่มีปัญหา ราคาถูกลงมาครึ่งหนึ่ง เหลือแค่สองพันกว่าบาท
โช้คอัพเดิม ๆ นิ่มไปนิด บวกกับอายุรถ ก็ลองพิจรณาดู มีโช้คอัพ และ สปริงหลากหลายี่ห้อให้เลือก ตั้งแต่แพงหน่อย ไปยันแพงเว่อร์ แพงกว่าเบนซ์ สำหรับสายครอบครัว เอาง่าย ๆ ส่วนมากจบ KYB New SR กระบอกฟ้า สองหมื่นนิด ๆ (ไม่รวมชุดเบ้ายางต่าง ๆ) ได้การขับขี่คล้ายเดิม หนึบขึ้นนิดหน่อย จะโหลดก็ได้ ไม่โหลดก็ได้ แต่หากเป็นสายแต่ง JDM บอกเลยตัวนี้อาจไม่จบ มันต้อง “คัน” ไปเอาสตรัทเกลียวมาเล่นแน่ ๆ เพราะผมก็โดนไปหลายชุดแล้ว
ภายนอก
ประตูสไลด์เป็นจุดที่ต้องเช็คก่อนซื้อ ให้ดูรางว่าเรียบร้อยดี จารบีสารหล่อลื่นไม่ดำแห้งเขรอะ ลองเปิด-ปิด ประตูสไตล์หลาย ๆ ทีไม่ต้องเกรงใจเต้นท์ รุ่นนี้หากหล่อลื่นไม่ดี ตัวล้อยางในรางสไตล์จะติด ทำให้เวลาปิดประตูแล้วจะเด้งกลับ สามารถซ่อมได้โดยให้ช่างถอดลูกล้อออกมาแต่ง และลงจารบีใหม่ ราคาหลักพัน หรือเปลี่ยนขาใหม่ยกชุดข้างนึงหมื่นกว่าบาท (ถ้าจำไม่ผิด) แต่รถผม 180,000 โล ทำแค่ถอดลูกล้อออกมาแต่ง + ลงจารบีใหม่เท่านั้น
สิ่งที่มักจะเสียนอกจากขอบยางประตูแล้ว ให้เริ่มดูที่แผงจิ้งหรีด ซึ่งคือแผงพลาสติคตรงที่ยึดใบปัดน้ำฝน ตัวนี้มักจะเก่า และกรอบ ดูสภาพหากไม่สบอารมณ์ก็เตรียมเงินเอาไว้เปลี่ยนได้ ไม่กี่พันบาท
ยางซันรูป มูนรูฟ เรียบร้อยดีมั๊ย ดูแล้วย้อนเข้ามาดูในตัวรถที่ผ้าเพดาน และ เสารถต่าง ๆ ว่าไม่มีคราบน้ำ เพราะถ้ารางน้ำซันรูฟตัน หรือขาด ก็จะรั่วเข้ามาแถวนี้
ส่วนอื่น ๆ อย่างตัวถังก็เช็คตามปกติ ด้วยตาว่ารถเคยเกิดอุบัติเหตุมาหรือไม่ เริ่มจากเปิดฝากระโปรงดูคานหน้าหลังกระจัง ว่าเคยเปลี่ยนมาหรือไม่ น็อตเคยทำสีมาหรือเปล่า ไล่ไปดูน็อตยึดแก้มหน้าว่าเคยทำสีมาหรือไม่ ดูใต้ฝากระโปรงว่าสภาพปกติเหมือนที่รถควรจะเป็นมั๊ย ไม่บิดเบี้ยว ไม่มีรอยซ่อม
รวมถึงเช็คตะเข็บรถต่าง ๆ น็อตประตู น็อตยึดฝากกระโปรงท้าย ภายในทั่วไป ซึ่งหากมีคนที่ดูเป็นแนะนำจ้างเค้าไปช่วยดูได้ ผมเองก็จ้างให้น้องที่ไว้ใจได้ (เป็นเต้นท์) ขับรถไปช่วยดูเสมอ ๆ เพราะเค้าจะละเอียดกว่าเรา
สำหรับผมตอนซื้อมือสองมาเล่น ก็เอาเข้าอู่เฉพาะทาง เค้าจะมีชุด 100,000 กิโลฯ ไว้คอยบริการ มีลิสต์สิ่งที่ต้องตรวจ พร้อมความชำนาญ ทำเสร็จขับทั่วไทยโดยไม่ต้องเป็นกังวล เรียกว่าเจ็บครั้งแรก แต่จบ โดยตอนนั้นผมโดนไปประมาณ 80,000 บาท ทั้งของเหลว เช็คเครื่อง เกียร์ เบรค ช่วงล่าง ซ่อมแรค ซ่อมคอพวงมาลัย สายพาน ลูกรอกสายพาน ตาน้ำเครื่องยนต์
ที่เหลือก็แค่ถ่ายน้ำมันตามระยะเท่านั้น หรือถ้าเป็นคนรักสะอาดมาก ๆ ก็เอาไปล้างตู้แอร์ด้วยก็ได้ รุ่นนี้มีตู้แอร์หน้า และหลัง แยกกัน
นับว่าเป็นรถที่ทนมาก ใช้ดีมาก ดูยังทันสมัยไม่เก่า ไปไหนยังคงดูดี ไม่ค่อยมีคนรู้ว่าอายุอานามปาเข้าไปเกิน 10 ปีแล้ว จะให้คนขับรถขับก็นั่งสบาย จะขับเองก็สะดวกสบาย คล่องตัวมาก ๆ
ที่สำคัญซ่อมง่าย อะไหล่หาง่าย ทั้งมือหนึ่ง และมือสอง โดยหลาย ๆ อย่างผมก็หาตามกลุ่ม ซื้อ-ขายอะไหล่ Estima หรือกลุ่ม Alphard Velfire Estima ในเฟสครับ มีพ่อค้าคุณภาพหลายคน อะไหล่มีเกือบทุกชิ้น ตั้งแต่ช่องแอร์ ยันฝากระโปรงท้าย
ก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับท่านที่เล็งรถรุ่นนี้ไว้ครับ
_______________________________________________
ฝากกดติดตามเพจ www.facebook.com/xenonartpage
และ ช่องยูทูปเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ
https://www.youtube.com/user/artxenonart