กล้อง FullFrame ที่มาพร้อมขนาด และ น้ำหนักไม่ต่างกับกล้อง APS-C เซนเซอร์เล็ก มันโดนตัดอะไรไป เพิ่มอะไรมา แล้วจะตอบโจทย์การใช้งานแค่ไหนมาดูกัน

#Sony #a7c #alpha #พี่อาร์ต #กล้อง #ถ่ายวีดีโอ

SONY Alpha 7C ที่เค้าบอกว่า C ย่อมาจาก Compact มันเป็นกล้อง mirrorless ระดับ Fullframe พร้อมกันสั่นบนเซนเซอร์ ที่มีขนาดเล็ก และเบาที่สุดที่มีในตลาดตอนนี้ โดยไม่นับ Sigma FP ซึ่งไม่มีระบบกันสั่น

อย่าวิชาการเยอะเลย ไปดูคลิปกันเลยครับ

ส่วนใครเป็นสาย “อ่าน” รีวิวสั้น ๆ ง่าย ๆ เลยมันคือ การเอา A7III อันโด่งดังมารีดีไซน์ใหม่ยัดลงไปในบอดี้ทรง a6600 แล้วได้อัพเกรดใหม่โดยได้

  1. ตัวเครื่องเล็กลงกว่า A7III โดยขนาด a7c จะเป็นมีขนาดใหญ่กว่า a6600 ที่เป็นกล้องระดับ APS-C นิดเดียว
  2. น้ำหนักเบาลง เหลือแค่ 509g โดย a7III หนัก 650g และ a6600 หนัก 503g 
  3. หน้าจอพลิกออกด้านข้าง ต่างกับ a7III ที่ได้แค่เอียงเท่านั้น พลิกมาด้านหน้าไม่ได้
  4. ถ่ายวีดีโอยาวจนกว่าแบตฯ หรือ เมมฯ จะหมด ไม่มีการตัด 30 นาที
  5. ได้ Focus รุ่นใหม่ที่เร็วกว่า และทำได้ดีกว่าในที่แสงน้อย
  6. ได้ skin tone ใหม่ ที่สวยกว่าเดิม
  7. เพิ่ม Eye AF โฟกัสดวงตาจิก ๆ ในโหมดถ่ายวีดีโอ
  8. มี metadata ฝังลงในไฟล์ทำให้เอาไปทำ stabilization ในโปรแกรม Catalyst Browse ได้ โดยปัจจุบันรุ่นที่รองรับคือ ZV-1, a7sIII และ a7c ตัวนี้เท่านั้น
  9.  ได้ Buffer มากกว่าโดยสามารถถ่าย jpg ได้ 220 ภาพ หรือ compressed RAW ได้ 115 ภาพ ในขณะที่ a7III ทำได้ 163 และ 89 ภาพ ตามลำดับ 
  10. ได้ปุ่ม Movie แยกจากปุ่ม Shutter ทำให้ถ่ายวีดีโอได้ทันที

สิ่งที่หายไป
  1. ช่องมองภาพขนาดใหญ่ตรงกลางโดนเอาออกออก แล้วใช้ช่องมองภาพจาก a6600 แทน ซึ่งผมเฉย ๆ แต่พวกช่างภาพจะติว่าเล็กไป ไม่ถนัด
  2. ลดช่องใส่เมมฯ เหลือช่องเดียว อันนี้ถ้ารับงาน อาจมีความเสียงที่งานจะเสียหาก หากเมมฯ มีปัญหา เพราะไม่มีเมมฯ ที่สองสำหรับ back up 
  3. ลดปุ่ม Custom [C1/C2] ออกไปเหลือแค่ C ตรงปุ่มถังขยะเท่านั้น
  4. ตัด wheel บริเวณหน้ากริปออก
  5. กริปเล็กกว่า a7III และยังเล็กกว่า a6600 แถมลื่นนิด ๆ ซึ่งบางคนอาจจับไม่ถนัด แต่ผมเริ่มชินแล้ว
  6. IBIS หรือ กันสั่นบนเซนเซอร์ที่เค้าว่ากันว่า ไม่ดีเท่า a7III เพราะบอดี้เล็กกว่า (ไม่ได้พิสูจน์) โดยรวมรับได้ในการเดิน Vlog
  7. Shutter speed a7c 1/4000s ในขณะที่ a7III ทำได้ที่ 1/8000s

คนใช้กล้องเพื่อทำ Vlog เน้นถ่ายวีดีโอด้วยตัวเอง คงเคยหากล้อง Sony FullFrame สักตัว และ Sony a7III มักจะเป็นตัวเลือกแรก ๆ ด้วยสเปค กับราคาที่ลงตัวมาก แต่สุดท้ายอาจไม่จบเพราะติดปัญหาหลักอยู่ 2 ข้อ คือ หนัก และจอพลิกมาดูตัวเองไม่ได้ ผมถ่ายวีดีโอคนเดียว ไม่มี camera man การที่ไม่สามารถพลิกจอมาดูได้นั้น ทำให้การทำงานลำบาก ซึ่งหลายคนที่ใช้ A7III อยู่ คงจะบอกให้ต่อจอนอกเอา แต่เวลาต่อจอนอกผ่าน hdmi แล้ว face detection ไม่ทำงาน แถมด้วยน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น มีสายระโยงระยามมากขึ้น ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ถ่ายคนเดียว ไม่มีทีมงาน 

พอ a7c เปิดตัว สำหรับผมที่เน้นงานวีดีโอ 80% ถ่ายภาพ 20% มันเลยโดนใจเพราะมันแก้ปัญหาหลัก ๆ ของคนต้องการกล้อง FullFrame รุ่นพี่อย่าง a7III มาครบ แต่ก็อย่างที่บอกไว้ต้นบทความว่าเราต้องแลกด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง 

สำหรับผม สิ่งที่โดนตัดออกไป หรือ สิ่งที่เปลี่ยนไปจาก a7III ไม่ค่อยซีเรียส เพราะเราต้องเข้าใจว่า จะเอาทุกอย่างไม่ได้ ผมรับได้หมด จะมีเพียง ช่องใส่เมมฯ ที่อยากให้เป็น 2 ช่อง เหมือนเดิม เพราะจะได้ถ่ายแล้วเซฟลงทั้ง 2 เมมฯ พร้อมกัน ป้องกันเมมฯ นึงเสีย หรือ เผลอลบไฟล์ไป ยังมีสำรองให้อุ่นใจ โดยเฉพาะเวลาไปถ่าย vlog ท่องเที่ยวที่ไม่น่าจะได้ไปซ้ำบ่อย ๆ

จากการใช้งานมาหลายวัน ร่วมกับเลนส์ FE20 f2.0, FE35 f1.8 และ Samyang 18mm f2.8 บอกได้เลยว่า ทั้งงานภาพนิ่ง และ วีดีโอ ประทับใจมาก โฟกัสเร็ว เกาะติดหนึบ ไม่ว่าจะแสงมาก หรือแสงน้อย ตัวเครื่องไม่ร้อน

แบตฯ ทนมาก ๆ โดยเฉพาะคนที่มาจาก Sony a6400 กับแบตฯ FW50 เพราะถ่ายแนวผม ออกไปข้างนอก 1 ก้อนเอาอยู่ ส่วน view finder ที่เค้าเรียกช่องมองภาพแนวนี้ว่า range finder นั้น ไม่ต้องปรับตัวแต่อย่างใด เพราะเหมือนเดิมที่เคยใช้มา

สีไฟล์ที่ได้ออกมา สำหรับผมจบได้หลังกล้อง เพราะเป็นแนว lifestyle และ vlog แต่หากจะเอาไป color grading ก็ทำต่อได้สบาย

ไมค์หัวกล้องดีงามตามสไตล์ Sony โทนเสียง และการรับเสียง ผมมีความรู้สึกว่าดีกว่า a6400 นะ ไม่จำเป็นต้องต่อไมค์ก็ได้ แต่ถ้าต้องการคุณภาพมากขึ้น การต่อไมค์ย่อมเป็นทางเลือกที่ดี

Tips & Tricks
  1. เนื่องจาก ใส่เมมฯ ได้ช่องเดียว หากถ่ายงานที่สำคัญมาก ๆ ควรหมั่นสำรองข้อมูล รวมไปถึงการพกหลายเมมฯ แล้วคอยเปลี่ยนเป็นช่วง ๆ อย่างน้อยเราคงไม่ซวยขนานเมมฯ corrupted ทุกแผ่นหรอก
  2. กริปที่เล็ก ถือจับยาก ผมแก้โดยการซื้อ Bluetooth Tripod ของ Sony มาติดไว้ ตั้งโต๊ะได้ ถือถนัด และเป็นรีโมทในตัวด้วย
  3. เวลาถ่ายวีดีโอ แล้วใช้ไมค์หัวกล้อง ให้ระวังเสียงของหูสายคล้องคอที่จะดังก๊อก แก๊ก แล้วติดเข้าไปในไฟล์ของเรา ผมไม่ค่อยสะพาย เลยถอดออกหมดเลย ตอนนี้เงียบสนิท
สรุป

ถ้าคุณใช้ FullFrame อยู่แล้ว แล้วไม่ได้เกิดกิเลสอะไรมากมายกับ นน. ที่ลดลงไปของ a7c ผมว่าไม่มีความจำเป็นเลย นอกเสียจากจะเป็นกล้องตัวที่สอง หรือ back up cam ด้วยน้ำหนักเบา และขนาดไม่เกะกะ ในราคาเปิดตัวพอ ๆ กับ a7III

สำหรับสายวีดีโอ ผมว่ามันเป็น Sony ที่ดีที่สุดแล้วกับ FullFrame ราคาไม่เกินแสน เพราะมันตอบโจทย์การใช้งานด้านการสร้างคอนเท้นต์ได้หมด 

หากใครที่อยากได้กล้อง FullFrame ยี่ห้อ Sony ชอบถ่ายวีดีโอ ไม่ยึดติดกับช่องมองภาพขนาดใหญ่ สามารถดูจอแล้วถ่ายรูปได้ ผมว่า Sony a7c ตอบโจทย์มาก ๆ ครับ 

ราคา 61,990 จะว่าแพงก็แพง จะว่าไม่แพงก็ไม่แพง ขึ้นอยู่กับมุมมองว่าคุณมองลงมาจาก a7riv หรือ มองขึ้นไปจาก a6400 เหมือนผม

แต่ที่แน่ ๆ หากจะช้ามมาเล่นกล้อง FullFrame ให้ศึกษาเลนส์ให้ดี ๆ ก่อนนะว่าเลนส์มันตอบโจทย์ และ งบประมาณเราแค่ไหน

ขอให้มีความสุขกับ gadget lifestyle และ technology ครับ

credit photo: https://mirrorlesscomparison.com/sony-vs-sony/a7c-vs-a7-iii

ตัวอย่างผลงานจาก SONY A7C

________________________________________________

ฝากกดติดตามเพจ www.facebook.com/xenonartpage

และ ช่องยูทูปเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ

https://www.youtube.com/user/artxenonart

About the author

xenon_art

บล็อคเกอร์กวน ๆ อารมณ์ดี ขี้บ่นบ้างอะไรบ้าง ชอบเขียนเรื่องสมาร์ทโฟน กิน เที่ยว และ ของเล่น เขียนบทความเป็นงานอดิเรก

twitter: @xenon_art
Instagram: xenon_art