รีวิว #Huawei #P20 เล็กพริกขี้หนู สเปคแห่งดวงดาว กับราคาที่จับต้องได้….แต่คนไม่ค่อยพูดถึง
#ซื้อเองรีวิวเองไม่ต้องอวย
หลังจากรีวิว Huawei P20 Pro ไป และขายเครื่องไปแล้ว แต่ลึก ๆ ยังรู้สึกติดใจกล้อง Huawei x Leica อยู่นะ เลยแอบไปด้อม ๆ มอง ๆ P20 Pro สี Twilight ที่ดันของขาด เลยเหลือบไปมอง P20 ตัวธรรมดา ลองจับครั้งแรก เออ เล็ก และ เบาดี เหมาะกับการพกเป็นเครื่องที่ 2 แถมราคาน่าคบที่ 19,990 บาท แต่เอ๊ะ….สเปคแอบต่างกับ P20 Pro พอสมควร ซึ่งจริง ๆ แล้วราคาที่ต่างกัน 8,000 บาท มันก็ควรจะต่างกันอยู่หรอกนะ 555
เกิดความ “คาใจ” อย่างที่สุดว่าจะซื้อ P20 Pro หรือ P20 ธรรมดาดี……มันจะต่างกันมั๊ย กล้องที่ขาดเลนส์ซูมไปจะโอเคหรือเปล่า และ อีกคำถามมากมายที่ผุดขึ้นมา
ตัดสินใจซื้อมาลองอีกสักตั้งกับแบรนด์นี้ คราวนี้นอกจากจะชี้จุดอ่อนของเครื่องเหมือนตอนทำ P20 Pro แล้ว จะบอกแนวทางแก้ไขปัญหาให้ด้วยสำหรับคนที่รักกล้องเหมือนผม ^^
แต่วันนี้เรามาดูแกะกล่องพร้อมเทียบสเปคกันตามธรรมเนียมพี่อาร์ต ปูเสื่อรอเสพรีวิวภาคกล้อง และเปรียบเทียบการใช้งานกันก่อน
เทียบสเปค Huawei P20 vs P20 Pro
ด้วยราคาต่างกัน 8,000 บาท มีอะไรต่างกันบ้างมาดูกัน
- หน้าจอ P20 เป็น LCD 5.8 นิ้ว แต่ P20 Pro เป็น OLED 6.1 นิ้ว ซึ่ง LCD จะสู้แสงมากกว่า OLED ในขณะที่ OLED ให้สีที่สดใสมีคอนทราสมากกว่า แต่ทั้งคู่ได้ความละเอียดหน้าจอเท่ากันที่ FullHD+
- P20 ได้แรมแค่ 4 กิ๊ก ในขณะที่ P20 Pro ได้มา 6 กิ๊ก หน่วยความจำในตัวเครื่อง 128 กิ๊กเท่ากันหายห่วง
- กล้อง P20 มีแค่ 2 กล้อง RGB 12 ล้าน กับกล้องขาวดำ 20 ล้าน แต่ P20 Pro มีกล้อง RGB 40 ล้าน กล้องขาวดำ 20 ล้าน และ กล้องซูม 8 ล้าน ทำให้ P20 ขาดกล้องซูมไป และมีกล้อง RGB 12 ล้านเท่ามือถือเรือธงตัวอื่น ๆ ในตลาด
- กล้อง P20 Pro มีขนาดเซ็นเซอร์ที่ใหญ่กว่าอยู่ที่ 1/1.7 นิ้ว ในขณะที่ P20 เซ็นเซอร์มีขนาดอยู่ที่ 1/2.3 นิ้ว แต่มีขนาดพิกเซลใหญ่ถึง 1.55 ไมครอน ทำให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีกว่า
- P20 จอเล็กกว่า เลยได้แบตเตอรี่น้อยกว่าที่ 3,400 มิลิแอมป์ เทียบกับ P20 Pro ที่ 4,000 มิลิแอมป์
- ลำโพงเสียงภายนอกมีเพียงตัวเดียวที่ตูดเครื่อง ด้านบนข้าง ๆ กล้องหน้าไม่เห็นมีเสียงออกเหมือน P20 Pro
- ส่วนสุดท้าย หลายคนอาจไม่ค่อยสนใจ แต่บางคนซีเรียสนะ นั่นคือมาตรฐานกันน้ำ-กันฝุ่น P20 ได้ระดับ IP53 คือกันละออกน้ำ หรือน้ำกระเด็นให้รีบเช็ด ส่วน P20 Pro ได้ระดับ IP67 ลงน้ำลึก 1 เมตรได้นาน 30 นาที เรียกว่าตกส้วมยังให้รีบเก็บ
ว่าแล้วมาดูคลิปแกะกล่องกันเลย
ส่วนภาพนิ่งก็ตามนี้
อุปกรณ์ในกล่องประกอบด้วย
- ตัวเครื่อง P20
- สายดาต้า USB Type-C
- หัวปลั๊กชาร์จไฟบ้าน
- หูฟัง
- สายแปลงแจ๊ก 3.5 มม. เป็น USB Type-C
- คู่มือฉบับย่อ
- ใบรับประกัน
- เข็มจิ้มซิม
- เคสซิลิโคนแบบใส
อุปกรณ์ที่จำเป็นหลัก ๆ ให้มาครบครัน ไม่ว่าจะสายเชื่อมต่อต่าง ๆ รวมถึงเข็มจิ้มซิม โดยทั้งหมดเป็นสีขาวสวยงามตามภาพ แต่นอกจากอุปกรณ์มาตรฐานแล้วจะมีหัวแปลงหูฟังที่ใช้แจ๊ค 3.5 มม. ให้เป็น USB Type-C เพราะเจ้า Huawei P20 Pro นี้ไม่มีช่องเสียบหูฟัง
เคสที่แถมมาให้คุณภาพดีใส่แล้วแนบกระชับเนื้อสัมผัสดีเลย เพียงแต่หากเทียบกับ Huawei P10 Plus ปีก่อนที่แถมเป็นเคสหนังพร้อมโลโก้ Leica แล้ว ปีนี้ของแถมดูกระจอกลงนะ
โดยรวมอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้มาอย่างครบเครื่องแทบไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่มเลยแม้แต่ฟิลม์กันรอยที่ติดมาให้เรียบร้อยจากโรงงาน แต่เท่าที่วันนี้ (วันที่วางขายวันแรก) ลองเดินสอบถามดูก็มีเพียงกันรอยกระจก Dapad แบบเต็มจอขายเป็นบางร้านเท่านั้น อนาคตเชื่อว่าคงมีให้เลือกมากกว่านี้
หน้าจอสวยงามแบบ IPS LCD ขนาอ 5.8 นิ้ว ความละเอียด 1080 x 2240 อัตราส่วน 18.7:9 ขับเคลื่อนด้วยซีพียู Kirin 960 แบบ 8 แกน Octa-core ความเร็ว 2.36 กิ๊ก โดยสามารถแบ่งเป็นชุดได้ดังนี้ 4 x Cortex A73 2.36GHz + 4 x Cortex A53 1.8GHz + i7 co-processor แรม 4 เพียงพอต่อการใช้งาน
ด้านหลังวัสดุกระจกพร้อมสีชมพูทอง ที่จะเป็นสีเหลือบเกิดจากเคลือบหลายชั้นใต้กระจกด้านหลัง สวยงามสดใสน่าใช้ มาพร้อมกล้องเทพที่พัฒนาร่วมกับ Leica ที่พร้อมพิสูจน์ความเทพ และ พร้อมจะเคลมตัวเองเป็นมือถือที่มีกล้องสวยที่สุดในตอนนี้….จริงหรือไม่ รอชมรีวิว
ระบบ AI ของ Huawei P20 Pro เรียกว่า Scene Recognition ที่ฉลาดจนสามารถเลือกใช้ซีนตามความเหมาะสมได้ 19 แบบ รวมไปถึงสามารถถ่าย Night Mode หรือ Light Trail ได้โดยอัตโนมัติแบบไม่ง้อขาตั้งกล้องได้ 8 วินาที แน่นนอนว่าสามารถถ่าย Slowmotion 960 เฟรมได้ตามมาตรฐานเรือธงในปัจจุบัน
ตัวเครื่องเป็นโลหะ หน้าตาคุ้นเคยเหมือนค่ายผลไม้แหว่ง สวยงามโค้งกับหน้าจอขอบโค้งถือจับกระชัดมือด้านซ้ายมือของตัวเครื่องเป็นปุ่มปรับเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่ม Power โดยปุ่มเสียงนี้จะทำหน้าที่เรียกโหมด Ultra Snapshot ทำให้เข้าสู่โหมดกล้องถ่
ด้านขวาตัวเครื่องเป็นช่องใส่ซิมแบบ 2 ซิม ไม่มีช่องใส่เมม แต่มีเมมฯ ในตัวเครื่องมาให้ใช้ 128 กิ๊ก
ด้านล่างของตัวเครื่องที่แฟนไอโฟนแสนจะคุ้นเคย โดยช่องทางด้านขวามือของตัวเครื่องเป็นไมโครโฟนสนทนาโทรศัพท์ ตรงกลางเป็นช่อง USB-Type C ถัดไปเป็นลำโพงเสียงภายนอก ซึ่งเวลาดูวีดิโอนั้นช่องนี้จะรองรับเสียงทุ้ม หรือ เสียงเบส ในขณะที่ลำโพงสนทนาโทรศัพท์จะปล่อยเสียงแหลม
ด้านหน้าก็เทพเช่นเคยโดยมากับจอแหว่งที่เดินตามรอย iPhone X และมือถือแบรนด์จีนเกือบทุกรุ่น ที่เปิดตัวไปก่อน ซึ่งเหตุผลเดียว คือต้องการคงคอนเซปต์หน้าจอ Full View Display ที่มีตัวเครื่องเล็กที่สุดเท่าที่ทำได้ไม่ต้องการพื้นที่ด้านบนให้หนามากนักเพื่อให้สมดุลย์กับขอบรอบตัวเครื่องอีก 3 ด้าน จึงต้องแว้วหน้าจอหลบกล้องหน้าโคตรเทพที่ iPhone X ชิดซ้าย Samsung ชิดขวาด้วยกล้องหน้าความละเอียด 24 ล้านพิกเซล…..คือโคตรเทพครับ
ใครไม่ชอบจอแหว่ง สามารถเปิดโหมด Hide Notch เพื่อให้แถบบนเป็นสีดำกลืนกันไปก็ยังได้ ตรงนี้ชอบนะ เพราะแก้ไขปัญหามาเรียบร้อย ต่างกับ iPhone X ที่ต้องให้นักพัฒนาแอพฯ ไปตามแก้เอาเอง ใครไม่แก้ หรือ แอพฯ เดิมไม่รองรับก็กดไม่ติด หรือ แสดงผลผิดเพี้ยนกันไป 555
ด้านล่างจะไม่มีปุ่มใด ๆ โดยปุ่มทั้งหมดจะไปอยู่บนหน้าจอตามสมัยนิยม แต่ตรงกลางจะมีคล้าย ๆ ปุ่มโฮมแต่กดไม่ได้มีสแกนลายนิ้วมือเพื่อปลดล็อคตัวเครื่อง ส่วนหน้าตาการใช้งานเป็นระบบ EMUI 8.1 ของ Huawei เอง ที่ต้องบอกว่าเปิดเครื่องมาปุ๊ปรู้สึกได้เลยว่าไอค่อนต่าง ๆ ดูไม่เรียบร้อยเท่าที่ควร ในขณะที่แบรนด์คู่แข่งอย่างไอโฟน หรือ ซัมซุง มีการปรับทรงไอค่อนให้เป็นไปในทางเดียวกัน แต่ Huawei นั้นไม่ได้ปรับในส่วนนี้มา จะเห็นไอค่อนกลม ๆ เหลี่ยม ๆ ปนกัน ซึ่งแน่นอนครับ มันเป็นแอนดรอยด์สามารถาเปลี่ยนธีมได้ ไม่ว่าจะเป็นธีมที่ Huawei ใส่มาให้เลือก หรือ โหลดใหม่จากใน Google Play Store แต่ความรู้สึกผมคือ ในเมื่อมีธีมที่ไอค่อนเรียบร้อยเตรียมไว้ให้โหลดเพิ่ม ทำไมไม่ใส่มาให้เลยตั้งแต่แรก เพื่อคนซื้อมาใช้จะได้ประสบการณ์ดี ๆ ตั้งแต่แกะกล่องเปิดเครื่อง ^^
ความรู้สึกแรกสัมผัส
บอกเลยแม้การดีไซน์ยังไปอิงจากค่ายผลไม้แหว่ง แต่ส่วนตัวชอบทรงนี้พอดี แถมวัสดุ การผลิดต่าง ๆ ทำออกมาได้ดีมาก โดยเฉพาะสีแปลก ๆ ใหม่อย่างสีชมพูทอง ที่ผมชอบเรียกว่าขาวเหลืบชมพู 555 อันนี้ดีงาม ชอบสุด ๆ เลย การใช้งานโดยรวมเท่าที่ลองประทับใจความลื่นไหลเทียบกับราคาแล้ว เกินคุ้ม ยิ่งได้กล้องที่พัฒนาร่วมกับ Leica เป็นประกันแล้วถือว่าหาตัวเทียบที่จะเป็นคู่แข่งในตลาดได้ค่อนข้างยาก เพราะอย่าง Samsung Galaxy S9 ที่หน้าจอ 5.8 นิ้วเท่ากัน กล้องหลัง 12 ล้านเท่ากัน แต่ดันให้เป็นกล้องเดี่ยว แถมราคาโดดไป 27,900 บาทกันเลยทีเดียว เรียกว่าราคานั้นไปถอย P20 Pro มาได้สบาย ๆ
การใช้งานก็ยังคงเจอสิ่งที่ไม่ชอบหลัก ๆ 2 อย่างคือ แป้นพิมพ์ไทยที่ “น่าเกลียด” มาก ๆ ซึ่งคงจะด่าหัวเหว่ยได้ไม่เต็มปากเพราะไปเอาคียบอร์ด SwiftKey มาให้ใช้ ซึ่งเป็นแป้นพิมพ์เทพ เคยใส่มาให้แล้วใน P10 เมื่อปีก่อน แต่ปีก่อนแป้นไทยสวยงาม ปีนี้แป้นไทยรับไม่ได้ ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยไปโหลด Google Keyboard มาใช้แทน
ส่วนที่ 2 คือ ธีมกลม ๆ เหลี่ยม ๆ ก็ไปเปลี่ยนซะในธีม หรือไปโหลด Go Launcher มาใช้แทน ราคานี้ ได้แบบนี้สุดคุ้มแล้ว บางเรื่องที่ไม่ชอบเราก็หาทางแก้กันไป
ส่วนที่ประทับใจมากคือ กล้อง….สวย สวย สวย สวย ไม่รู้จะต้องพิมพ์กี่ครั้ง แต่บอกเลยว่าสวยมาก แต่จะสวยแค่ไหนติดตามตอนต่อไปที่จะทดสอบกล้องเทียบกับ P20 Pro แบบไหล่ชนไหล่ สำหรับรีวิวนี้สวัสดีครับ
ขอให้มีความสุขกับมือถือของคุณ
_______________________________________
ชอบ #ซื้อเองรีวิวเองไม่ต้องอวย
ฝากกดไลค์ติดตามเพจ “ไลฟ์สไตล์ไอที กับพี่อาร์ต” ด้วยนะจ๊ะ