พิสูจน์ปัญหาคาใจ #Huawei #P20 กับ #20Pro แรม แบตฯ กล้อง ใช้งานจริง ๆ ไม่อิงสเปคต่างกันแค่ไหน วันนี้มีคำตอบ

#ซื้อเองรีวิวเองไม่ต้องอวย #รีวิวนี้สนองกิเลสตัวเองล้วน #เทพแห่งกล้องที่แท้ทรู 

จาก รีวิวแกะกล่องพร้อมสเปค Huawei P20 พร้อมเทียบ P20 Pro ต่างกันอย่างไร ที่ได้เกริ่นไว้แล้วว่า ผมเกิดความ “คาใจ” อย่างที่สุดว่า P20 Pro กับ P20 เวลาใช้งานจริงไม่อิงสเปคในกระดาษมันจะต่างมากมั๊ย เพราะหลังรีวิว P20 Pro ไปแล้วรู้สึกชอบรูปทรงที่จับถนัด จอ “ไม่โค้ง” และที่สำคัญถ่ายรูปสวยมากกกก แต่ติดตรงที่ยังรัก S9+ อยู่ เลยคิดจะเอา P20 มาใช้คู่กัน แต่ลึก ๆ แอบกังวลว่า P20 ที่กล้องน้อยกว่า แรมน้อยกว่า แบตฯ น้อยกว่านั้น มันจะโอเคหรือไม่?

และนี่คือ โจทย์ของรีวิวนี้ ซึ่งเป็นรีวิวสนองกิเลสตัวเองล้วน ๆ เลยแซงคิวรีวิวเดี่ยวของ P20 ที่คาไว้แบบลัดคิวสุด ๆ เพราะเราหลอกตัวเองว่า น่าจะมีคนอยากอ่านรีวิวเทียบ P20 vs P20 Pro มากกว่ารีวิว P20 เฉย ๆ 555

ใครลืมสเปคไปแล้ว ผมเอามาแปะให้ดูใหม่

ด้วยราคาต่างกัน 8,000 บาท มีอะไรต่างกันบ้าง?

  1. หน้าจอ P20 เป็น LCD 5.8 นิ้ว ส่วน P20 Pro เป็น OLED 6.1 นิ้ว ซึ่ง LCD จะสู้แสงมากกว่า OLED ในขณะที่ OLED ให้สีที่สดใสมีคอนทราสมากกว่า แต่ทั้งคู่ได้ความละเอียดหน้าจอเท่ากันที่ FullHD+
  2. P20 ได้แรมแค่ 4 กิ๊ก ในขณะที่ P20 Pro ได้มา 6 กิ๊ก หน่วยความจำในตัวเครื่อง 128 กิ๊กเท่ากันหายห่วง
  3. กล้อง P20 มีแค่ 2 กล้อง RGB 12 ล้าน กับกล้องขาวดำ 20 ล้าน แต่ P20 Pro มีกล้อง RGB 40 ล้าน กล้องขาวดำ 20 ล้าน และ กล้องซูม 8 ล้าน ทำให้ P20 ขาดกล้องซูมไป และมีกล้อง RGB 12 ล้านเท่ามือถือเรือธงตัวอื่น ๆ ในตลาด
  4. กล้อง P20 Pro มีขนาดเซ็นเซอร์ที่ใหญ่กว่าอยู่ที่ 1/1.7 นิ้ว ในขณะที่ P20 เซ็นเซอร์มีขนาดอยู่ที่ 1/2.3 นิ้ว แต่มีขนาดพิกเซลใหญ่ถึง 1.55 ไมครอน ทำให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีกว่า
  5. P20 จอเล็กกว่า เลยได้แบตเตอรี่น้อยกว่าที่ 3,400 มิลิแอมป์ เทียบกับ P20 Pro ที่ 4,000 มิลิแอมป์
  6. ลำโพงเสียงภายนอกมีเพียงตัวเดียวที่ตูดเครื่อง ด้านบนข้าง ๆ กล้องหน้าไม่เห็นมีเสียงออกเหมือน P20 Pro
  7. มาตรฐานกันน้ำ-กันฝุ่น P20 ได้ระดับ IP53 คือกันละออกน้ำ หรือน้ำกระเด็นให้รีบเช็ด ส่วน P20 Pro ได้ระดับ IP67 ลงน้ำลึก 1 เมตรได้นาน 30 นาที เรียกว่าตกส้วมยังให้รีบเก็บ

บทสรุปการใช้งาน

  1. การใช้งานโดยรวมไม่แตกต่าง ทั้งความเร็ว และ ปัญหาเอ๋อ ๆ บางครั้งของทั้งคู่ โดยเฉพาะเล่นเฟสบุ๊คแอบกระตุกนิด ๆ หากเทียบกับเรือธงยี่ห้ออื่น แต่ก็ไม่ได้ขัดใจอะไรเพราะเป็นอยู่แอพฯ เดียว แอพฯ อื่น ๆ ที่ผมใช้อย่าง IG, Page Manager, WaterMark, SF Cinema หรือ KMobile Banking ก็ลื่นไหลดี
  2. หน้าจอ OLED กับ LCD แม้จะได้โทนสีต่างกัน ความสว่างต่างกัน ในการใช้งานจริงแทบไม่ค่อยรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น สอบผ่านทั้งคู่ ไม่ว่าจะอยู่กลางแจ้ง หรือ ที่มืด
  3. หน้าจอ 5.8″ vs 6.1″ จากตัวเลขเหมือนต่างกันนิดเดียว ในส่วนการใช้งานเห็นผลพอสมควรสำหรับผมที่อ่านหนังสือตัวเล็ก ๆ ไม่ค่อยถนัดแล้ว โดยเฉพาะการอ่านเอกสาร อีเมลล์ แต่หากดูพวกเฟสบุ๊ค นี่ก็แล้วแต่คนชอบครับเพราะบรรทัดเท่ากัน แสดงผลคอนเท้นต์ต่าง ๆ ในปริมาณเท่ากันเพียงแต่จะเล็กกว่าเท่านั้น อันนั้นผมไม่ค่อยมีปัญหาเพราะรายละเอียดไม่ได้เยอะ
  4. แรมที่ต่างก้ัน 2 กิ๊ก เวลาใช้งานจริงปริมาณแรมที่เหลือใช้ต่างกันแค่ 1 กิ๊กเท่านั้น โดยรวมผมว่าไม่ค่อยมีความต่างมากนัก เพราะแม้จะเปิดแอพฯ และ เกมส์ รวมกันหลาย ๆ แอพฯ เครื่องยังไม่มีปัญหา หากจะเล่นเกมโหด ๆ บน P20 ก็ปิดแอพฯ ทั้งหมดก่อนก็ลื่นไหลไม่มีปัญหา เรียกว่า 4 กิ๊กหายห่วง……สบายใจได้
  5. แบตเตอรี่ของ P20 ที่หมดเร็วกว่าประมาณ 10% คือก่อนนอนจะเอามาชาร์จ P20 เหลือแบตฯ 30% ในขณะที่ P20 Pro เหลือ 40%
  6. คุณสมบัติกันนั้น อันนี้ไม่ได้ลองเพราะปกติเป็นคนไม่ค่อยลงน้ำอยู่แล้ว แต่หากใครนิยมลงน้ำ คงต้องตัด P20 ออกจากตัวเลือก เพราะมันแค่กันน้ำกระเด็นเท่านั้นเอง ^^

นอกจากการทำงานที่กล่าวไปเบื้องต้นแล้วนั้น กล้องเป็นส่วนสำคัญมากสำหรับผมในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสมาร์ทโฟนสักตัว และที่เป็นกังวลใจที่สุดระหว่าง P20 กับ P20 Pro ก็คือกล้องหลักที่ลดลงจาก 40 ล้านพิกเซล เหลือเพียง 12 ล้านพิกเซล และเลนส์ซูมหายไป

ภาพทั้งหมดย่อและใส่ลายน้ำเท่านั้น สามารถคลิ๊กที่ภาพเพื่อดูขนาดเต็ม และ เซฟไปลองขยายดูในคอมฯ ได้

Zoom / ซูม ซูม

ภาพแรกไม่ต้องไปสนใจสีสรรอะไรมากมาย แค่อยากถ่ายให้ดูว่าผมยืนตรงไหน จากนั้นภาพต่อไปเป็นการซูม x10 สูงสุดของทั้ง P20 และ P20 Pro

หากต้องการซูม P20 สามารถตั้งค่าได้สูงสุด 12 ล้านพิกเซล ใสขณะที่ P20 Pro ตั้งค่าได้สูงสุดเพียง 10 ล้านพิกเซล ถึงแม้ว่าจะมีความละเอียดเพียง 10 ล้านพิกเซล แต่ P20 ก็พ่ายแพ้ไปตามคาดเพราะขาดเลนส์ซูม 8 ล้านพิกเซลมาช่วย ต้องอาศัยเลนส์หลักเท่านั้น ซึ่งผลที่ได้คือความคมชัดที่หายไปแบบชัดเจน ตัวเลขบนป้ายบอกระยะคมชัดผิดกัน

แต่ถ้าการถ่ายวัตถุนิ่ง ๆ มันไม่ตอบโจทย์หล่ะ…. ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยถ่ายซูมวัตถุนิ่ง ๆ นะ จะซูมก็ต้องแบบว่าไปดูคอนเสิร์ต ไปงานมอร์เตอร์โชว์ หรือ ถ่ายลูกไรงี้ งั้นลองซูมสุด ๆ 10 เท่าแล้วถ่ายคนที่เดินไปเดินมาดูว่าไหวมั๊ย

โดยรวม P20 Pro เก็บภาพออกมาได้คมชัดกว่า ซูมแล้วสั่นน้อยกว่า ทำให้เล็งง่ายกว่า P20 ตัวเล็กของเรา  แต่รายละเอียดในเงา หรือ วัตถุสีเข้มกลับรายละเอียดหายไป เทียบกับ P20 ต้นไม้ด้านหลังชัดเจนกว่าเยอะ แต่ก็นะ เราต้องการถ่ายคน 555

ชีวิตพักหลังใช้ซูมเยอะขึ้นเนื่องจากต้องพาลูกชายไปตระเวนแข่งกอล์ฟหาประสบการณ์  โดยกฏสนามคือห้ามผู้ไม่เกี่ยวข้องลงสนาม หรือไปรบกวนนักแข่งทุกคนรวมถึงลูกตัวเองด้วย และผู้ปกครอง (ขี้ร้อน) อย่างเราก็เช่ารถกอล์ฟขับตาม อาศัยซูมเก็บรูปสวย ๆ เอา พยายามไม่โดนแดด อิ อิ อิ

ภาพนี้ตอนถ่ายไม่ได้สนใจว่าซูมกี่เท่า ไม่ได้สนใจว่าทั้ง 2 เครื่องซูมเท่ากันหรือเปล่า สนใจแต่ว่าถ่ายแล้วองค์ประกอบได้ตามที่ต้องการก็กดถ่ายเลย

ภาพที่ได้ P20 สว่างกว่า รายละเอียดของฉากหลัง ใบไม้ ต้นไม้ต่าง ๆ ทำออกมาได้ดีกว่า และก็เป็นไปตามคาดคือ P20 Pro ได้ภาพที่คมกว่า

ถ่ายอาหาร / Food Blogger

ภาพแรกที่เป็นกุ้งทอดผมลองปิด Food  Mode ไปใช้โหมดปกติ ส่วนภาพชุดไข่เจียวถัดไปใช้เป็น Food Mode ตามที่ AI ของเครื่องตรวจจับได้ และเปลี่ยนอัตโนมัติ

ถ่าย Outdoor

มาลองมุมเดิม มุมที่เอา P20 Pro มาไฝว้กับ Samsung S9+

ภาพแสงมุมกว้างที่ถ่ายตอนเที่ยง ๆ ออกมาหาความต่างแทบไม่เจอ จะมีก็นิดหน่อยตามที่เห็น แต่พอเป็นมมุมใกล้หน่อย ถ่ายงัดขึ้น แอบย้อนแสงนิด ๆ เหมือนเจ้าคิวปิดด้านล่าง จะเริ่มเห็นความต่างบ้างแล้ว

โดย P20 Pro ยังคงติดสีเข้มกว่า P20 เช่นเคย

 

ถ่ายในห้างฯ

ถ่ายด้วยแสงประดิษฐ์ หรือ แสงสว่างจากไฟฟ้า โดยรวมภาพมุมกว้างผมว่าไม่ค่อยต่างนะ แต่พอดีมีงาน Thailand Toy Expo 2018 ซะด้วย แบบนี้ได้ลองของซะแล้ว

งานโชว์พวกนี้ เป็นงานที่คนเยอะ และ หากจังหวะไม่ดีจริง ๆ จะหาช่วงที่ไม่มีคนมุงค่อนข้างจาก ภาพแต่ละภาพจึงต้องผ่านการประมวลผลที่แม่นยำ การโฟกัสที่รวดเร็ว อีกทั้งส่วนมากต้องถ่ายผ่านกระจกใสที่สะท้อนเงามาบดบังของเล่นด้วย

ชุดบน หากมอง Flash Gordon ตัวแดง-เหลืองแบบผ่าน ๆ ก็สวยทั้งคู่ แต่รายละเอียดของชุด และ เฉดสีต่างกัน หันไปดูแบทแมนที่เป็นเฉดสีดำ รายละเอียดย่ิ่งต่างกันกว่าเดิม

เดินย้ายโซนไปหาอะไรง่าย ๆ ถ่ายบ้าง โดยของที่โชว์ตู้นี้คนมุงน้อยดี เรียกว่าไปถูกจังหวะพอดี แถมกระจกเป็นกระจกที่สะท้อนเงาน้อยเอาใจคนชอบถ่ายภาพ

ยืนตำแหน่งเดิม พยายามถ่ายให้อยู่ในเฟรมเดิมมาให้ดูนะครับ ชอบแบบไหนถามใจเธอดู แต่ถ้าถามผม P20 Pro ให้ภาพที่คมกว่าเพราะโฟกัสจับแม่นกว่า

ถ่ายย้อนแสง

ถ่ายของเล่นธรรมดาไม่สนุก ต้องจับมายืนให้แดดอยู่ข้างหลัง ดูผลงานใครปรับสีตัวเองได้ดีกว่ากัน….ไม่ต้องบรรยายเลยนะ

ถ่ายของเล่น ของชิ้นเล็ก

ถ่ายของเล่นเพลิน ๆ ก็มาลุยกันต่อกับกาชาปองน้องชื่ออะไรไม่รู้แต่ฮิตกันมาก ๆ สะสมไปเกาะแก้วกันใหญ่ ….ถ่ายผ่านตู้กระจกนะจ๊ะ

อีกรูปกลับมาที่น้องมดคนเดิม เปลี่ยนไปคือไม่ยืนย้อนแสงละ…..เหนื่อย มายืนหน้ากำแพงขาวแล้วกันง่ายดี อารมณ์เหมือนถ่ายบัตรประชาชน

ถ่ายบุคคล / Portrait

การถ่ายคน เป็นงานถนัดของ Huawei …..แนวเค้าเลย ด้วยเทคโนโลยีของ Leica สีที่ได้ และมิติความลึกจะดูดีกว่ายี่ห้ออื่น ๆ

ลองแบบแรกก่อน ถ่ายบุคคลครึ่งตัวด้วยโหมด Aperture ละลายหลัง ซึ่งเป็นโหมดเทพโดนใจมาก ๆ เพราะไม่ต้องขยับห่างจากเป้าออกมามากเหมือน iPhone และ Samsung คือนั่งที่เดิมแล้วถ่ายได้เลย สะดวกสุด ๆ

ผลงานที่ได้ผมว่า P20 ให้เฉดสีที่มืดกว่าเล็กน้อย โดยรวามสวยงามทั้งคู่

ว่าแล้วได้โอกาศลองช๊อตพิเศษปีละครั้ง แต่สำคัญมาก นั่นคือถ่ายเค้กวันเกิด……เย้ เย้ เย้ ก็ตามสูตรทุกบ้านครับ ปักเทียน ปิดไฟ ร้องเพลง แล้วถ่ายรูปก่อนเป่าเค้กเพิ่มอายุ

……..Happy Birthday to youuuuuu…….

ภาพนี้เนื่องจากเป็นภาพเด็กจึงเลี่ยงไม่ใช้ Night Mode เพราะเชื่อว่าไม่สามารถให้เด็กยืนยิ้มค้างไว้ 5 วินาทีได้ถึง 2 ครั้ง และ ผลงานที่ได้จากโหมดออโต้ น่าแปลกใจที่ P20 ทำออกมาได้ดีกว่าเยอะ ๆ ๆ โดย P20 Pro ก็เหมือนเดิมคือพอมาเจอสีดำ หรือ เงามืดแล้วรายละเอียดหาย ตรงนี้ P20 ชนะไปอย่างผิดความคาดหมาย

คาดว่าเป็นเพราะ P20 เซ็นเซอร์มีขนาดอยู่ที่ 1/2.3 นิ้ว แต่มีขนาดพิกเซลใหญ่ถึง 1.55 ไมครอน ทำให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีกว่า

กล้องหน้า / Selfie

กล้องหน้าทั้งคู่ให้มาความละเอียด 24 ล้านพิกเซลเท่ากัน เป็นกล้องชุดเดียวกัน ภาพที่ได้ก็จะเหมือน ๆ กันตามคาด โดยกล้องหน้าสามารถถ่ายแบบธรรมดาได้ และหากต้องการลูกเล่นมากขึ้นให้ใช้โหมด Portrait โดยสามารถเลือกความเนียนของใบหน้าได้ และ สามารถเลือกปรับ 3D Light หรือ โหมดโบเก้ อย่างใดอย่างหนึ่ง เลือกทั้ง 2 อันไม่ได้ โดยความสับสบเล็กน้อยของโหมดโบเก้ คือ ในกล้องหลัง “โบเก้” ทำหน้าที่สร้างโบเก้ให้กับไฟในฉากหลังเพ่ิมความสวยงามของภาพ หากอยากได้ละลายหลังแนะนำให้ใช้โหมด Aperture ซึ่งถ่ายแล้วสามารถปรับได้ว่าจะละลายหลังมาก-น้อยเพียงใด

แต่พอเป็นกล้องหน้า โบเก้ ดันถูกใช้เป็นการละลายหลังแทน แน่นอนว่าถ่ายแล้วปรับอะไรไม่ได้อีกเลย….แปลกจริง

เอาจริง ๆ แล้ว Huawei ใช้โหมด “โบเก้” เพื่อละลายหลังมาตั้งแต่ P10 แล้วหล่ะ แต่พอเป็น P20 เค้าเพิ่ม Aperture มาแถมมาเฉพาะกล้องหลัง เลยสร้างความสับสนเล็กน้อย

ท่ามกลางความแปลก ระคนหงุดหงิดใจในการออกแบบเมนูการใช้งานนั้น ผลงานที่ออกมาน่าประทับใจจนแทบจะเลิกบ่นกันเลยทีเดียวเพราะม้ันสวยงามจับใจ แถมถ่ายแล้วหน้าเล็กลงได้อีกโดยไม่ได้ปรับโหมดหน้าเล็กแต่อย่างใด เราให้อภัยนายนะหัวเหว่ย 555

ถ่ายกลางคืนก็ได้คุณภาพแทบไม่แตกต่าง…..สบายใจได้

ถ่ายสินค้า / ขายของออนไลน์

อย่างที่บอกไปหลายครั้งในการรีวิวกล้องเพื่อโพสขายของออนไลน์สายไม่ใส่ฟิลเตอร์ว่า กล้องแต่ละตัวให้อารมณ์ และ เฉดสีไม่เหมือนกัน ดังนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าใครถ่ายสวยหรือไม่สวย แต่อยู่ที่กล้องตัวไหนตอบโจทย์สินค้าเรามากกว่ากัน

…เราเน้นสีสรรเหมือนจริงเพื่อป้องกันปัญหากับลูกค้าภายหลัง เช่น เครื่องประดับ กระเป๋าที่มีหลายเฉดสี รองเท้า เป็นต้น

…เราเน้นถ่ายแล้วสวยงาม สีเพี้ยนบ้างไม่เป็นไรเพราะไม่ใช่ประเด็นหลัก เช่น นาฬิกา ล้อแมกซ์ บ้าน ที่ดิน ของกิน เป็นต้น

…เราเน้นถ่ายแล้วต้องสว่างชัดเจน เพราะสินค้า หรือ บริการของเราอยู่ในที่มืด เช่น …..ไม่กล้ายกตัวอย่าง 555

ดังนั้นสำหรับมุมนี้ลองดูกันเอานะครับว่าใครถ่ายออกมาแล้วเหมาะกับเราที่สุด หรือ สอบผ่านทัั้งคู่

ถ่ายกลางคืน / Night Mode

โหมดกลางคืน ถ่ายโดยถือให้นิ่งหน่อยประมาณ 5 วินาที โดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง ตัวกล้องจะเปิดรูรับแสงค้างไว้ เก็บภาพที่ได้มาประมวลผลให้ได้ภาพเดียวที่สวยงาม ไร้ noise (ตามคำอ้างของเค้า)

ผลงานก็อย่างที่เห็นครับ เฉดสีแตกต่างกัน ซึ่งก็เป็นคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันของทั้ง 2 ตัว แต่ด้านคุณภาพนี้ดีงามทั้งคู่ กินกันไม่ลงจริง ๆ

บทสรุปเรื่องกล้อง

  1. กล้องของ P20 ถ่ายสวยมาก ซึ่งแน่นอนว่าการซูมจะแพ้ P20 Pro เพราะมันไม่มีเลนส์ซูม ส่วนสีสรร และ  เพราะ P20 Pro ผมว่าสีจะเข้มกว่า และมืดกว่าทำให้รายละเอียดหายไป แต่ถ้าเน้น
  2. P20 ถ่ายง่ายในโหมด Auto ไม่ต้องคิดมาก ถ่ายอะไรก็สวยถ้าไม่ซูม การเก็บรายละเอียดต่าง ๆ โดยรวม P20 ทำได้ดีกว่า P20 Pro ในส่วนของการเก็บรายละเอียดของเงา และ สีดำที่รายละเอียดไม่จมหาย
  3. P20 Pro ก็ถ่ายสวย เรื่องซูมยกให้เค้าเลย แถมยังถ่ายสวยกว่าหากเราขยันปรับโน่น นั่นนี่ โดยเฉพาะคนชอบใช้โหมดโปรฯ คงต้องเลือก P20 Pro เพราะ ISO ดันไปได้ถึง 6400 ในขณะที่ P20 ทำได้เพียง 3200 เท่านั้น ในส่วนอื่น ๆ เหมือนกันเป๊ะ ๆ
  4. กล้องหน้าเหมือนกันเป๊ะ เพราะสเปคเดียวกันเลย ผลงานที่ได้ออกมาสวยเกินราคา….โคตรคุ้มครับ
  5. เรียกว่ากล้อง 2 ตัว ถ้าไม่เน้นซูม P20 ใช้ได้สบาย ๆ ไม่ต้องกังวล….ถ่ายรูปแบบบ้าน ๆ สไตล์ผม P20 ก็ถ่ายรูปสวย ๆ ได้อย่างเหลือเฟือ….ฟินมาก

ความเห็นส่วนตัว

หลังจากที่ได้ทดสอบใช้งานเปรียบเทียบกัน ตอนนี้สบายใจแล้วเพราะผมตอบได้เลยว่า นอกจากเรื่องการถ่ายภาพซูมที่ด้อยกว่า แบตฯ น้อยกว่านิดนึง กับหน้าจอที่ต้องใช้เวลาปรับสายตาสักหลายวันกับหน้าจอ 5.1 นิ้ว Huawei P20 ตอบโจทย์ได้ดีไม่แพ้รุ่นพี่อย่าง P20 Pro เพราะยังถ่ายภาพบุคคลได้สวยงาม กล้องหน้าเลิศ แรม 4 กิ๊ก ไม่เป็นประเด็นในการใช้งานเลย

หากใครลังเลระหว่าง P20 กับ P20 Pro บอกเลย ถ้างบถึง ชอบจอใหญ่ เอา P20 Pro แต่ถ้าชอบเล็กหน่อย แถมราคาเร้าใจ จัด P20 ไปได้เลย ผมว่าคุ้มค่าที่สุดในตลาดตอนนี้แล้วครับ…เล็กพริกขี้หนูจริง ๆ

อย่าลืมว่า มือถือที่ดีที่สุดคือ

มือถือที่ตอบโจทย์การใช้งานที่สุด

ของแพงที่สุดอาจไม่ได้ดีกับเราเสมอไป

_______________________________________

ชอบ #ซื้อเองรีวิวเองไม่ต้องอวย

ฝากกดไลค์ติดตามเพจ “ไลฟ์สไตล์ไอที กับพี่อาร์ต” ด้วยนะจ๊ะ

https://www.facebook.com/xenonartpage

Facebook-Like

About the author

xenon_art

บล็อคเกอร์กวน ๆ อารมณ์ดี ขี้บ่นบ้างอะไรบ้าง ชอบเขียนเรื่องสมาร์ทโฟน กิน เที่ยว และ ของเล่น เขียนบทความเป็นงานอดิเรก

twitter: @xenon_art
Instagram: xenon_art