แกะกล่องของแรง Samsung Galaxy S6 edge plus ที่ยังไม่เข้าไทยแต่เชื่อว่าหลายคนรอคอย…มันคือ S6 edge ขยายขนาดหรือเปล่า?
ปราดแรกที่เปิดตัวหลายคนร้องว้าว หลายคนร้องยี้ คนที่ร้องว้าวเพราะชอบ S6 edge หน้าจอโค้งดูสวยงามทันสมัย คนที่ร้องยี้เพราะรู้สึกว่าไม่แตกต่าง
จริง ๆ แล้วมันแตกต่างกับ S6 edge ตัวธรรมดาเยอะเลยนะ โดยเฉพาะผมเองที่ชอบ S6 edge กับความทันสมัย บางเบา หน้าจอโค้ง แต่ไม่สามารถใช้งานจอเล็ก ๆ ได้ แต่ S6 edge+ มากับหน้าจอใหญ่เท่า Note 5 แถมสเปคเท่า Note 5 อีกต่างหาก ต่างกันตรงที่เบากว่า บางกว่า และ ไม่มีปากกาเท่านั้น
งานนี้พาภรรยาไปเที่ยวฮ่องกง เห็นวางขายพอดี…รอช้าอยู่ไย จัดมาซะเลย ซึ่งเครื่องที่ขายฮ่องกงเบื้องต้นมี 2 สีคือ Gold Platinum และ Silver Titanium และเป็นรุ่นใส่ได้ 2 ซิม จัดสีเงินมารีวิวเข้าคู่กับ Note 5 ตามระเบียบ
สเปคอย่างเป็นทางการ Galaxy S6 edge+
- ขนาด 154.4 x 75.8 x 6.9 มม. (Note5 153.2×76.1×7.6)
- น้ำหนัก 153 กรัม (note 5 171)
- หน้าจอ 5.7 นิ้ว Super AMOLED QuadHD ความละเอียด 2560 x 1440518ppi
- ซีพียู Exynos 7420 OctaCore 2.1+1.5 กิ๊ก
- แรม 4 กิ๊ก
- หน่วยความจำในตัวเครื่อง 32 กิ๊ก
- เพิ่มเมมไม่ได้
- กล้องหลัง 16 ล้านพิกเซล เลนส์ f/1.9 พร้อมระบบ OIS
- กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล เลนส์ f/1.9
- แบตเตอรี่ความจุ 3,000 มิลิแอมป์ ถอดเปลี่ยนแบตไม่ได้
- ใส่ได้ 2 ซิม
จากข่าวต่างประเทศตอนเปิดตัวแจ้งไว้ว่าจะมีจำหน่าย 4 สี คือ ดำ, เงินไทเทเนี่ยม, ทองพลาตินั่ม และ สีขาว ซึ่งตอนนี้ที่ฮ่องกงก็ออกเพียง 2 สีเหมือน Note5 บ้านเรา คือ ทอง กับ เงิน
ด้านหน้ากล่องที่ยังคงคอนเซ็ปต์เดิม คือเป็นสีขาวอมน้ำตาลสะอาดตา พร้อมยี่ห้อ และ รุ่น โดยรวมแล้วมันช่วงเรียบง่ายแต่ดูดีจริง ๆ
ด้านหลังกล่องมีสเปคคร่าว ๆ ซึ่งหลัก ๆ ก็เป็นซีพียู Octa Core ซีพียูแปดแกน ประกอบด้วยซีพียู Quad Core 2 ตัว 2.1 กิ๊ก ตัวนึง และ 1.5 กิ๊ก ช่วยกันทำงานลดโหลดของการใช้งานซีพียูเพียงตัวเดียวทำให้การทำงานลื่นไหล
แรมจัดหนัก 4 กิ๊ก เยอะสะใจ การใช้งานลื่นไหล
แถบมุมบนที่บอกสี และ ความจุนี้ แถบสีจะเปลี่ยนไปตามสีของตัวเครื่องด้านใน
ตัดสินใจซื้อสีเงินไทเทเนี่ยม (อีกแล้ว) เพื่อให้เข้าชุดกับ Note 5 สีเงินที่เคยรีวิวไปแล้ว แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น ผมว่าสีเงินไทเทกำลังมาแรง สีทองเห็นเยอะละ
อุปกรณ์ในกล่องประกอบด้วย
- ตัวเครื่อง
- สายดาต้า
- หัวปลั๊กชาร์จไฟบ้าน
- หูฟัง
- ซิลิโคนสำรอง 4 คู่
- ที่จิ้มซิม
- คู่มือเริ่มใช้งานอย่างง่าย
- ใบรับประกัน
คู่มือฉบับรวดเร็ว หรือ Quick Start Guide ภาษาอังกฤษ และ จีนตามประสาเครื่องฮ่องกง
ใบรับประกันไม่มี เค้าให้ไปลงทะเบียนผ่านเวปไซท์ด้วยเลข IMEI + เลขที่ใบเสร็จ แล้วเราจะได้ประกัน 1 ปีครึ่งกันเลยทีเดียว
สายดาต้าสำหรับโอนถ่ายข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ และ เมื่อเอาไปต่อกับหัวปลั๊กชาร์จไปก็จะกลายเป็นสายชาร์จทันที
หัวปลั๊กชาร์จไฟบ้าน จ่ายไฟแรง ๆ ที่ 2 แอมป์ รองรับการทำงานของ Fast Charge
เนื่องจากเป็นเครื่องฮ่องกง ขาปลั๊กจึงเป็นแบบขาเหลี่ยม 3 ขา
หูฟังที่เป็นสมอล์ทอล์คในตัวทรง EarPod อันคุ้นตา มาพร้อมซิลิโคนครอบอีกชั้นหนึ่งเพื่อความสบายหู และ ยังช่วยกรองเสียงรอบข้างไม่ให้เข้ามาในหูเราอีกด้วย
จุกหูฟังสำรอง 2 คู่ บรรจุรวมมาในกล่องหูฟังด้วยเลย ลองเพ่งดูดี ๆ ซิลิโคนสำรองจะอยู่กลางกล่อง
เข็มจิ้มซิมรูปทรงเฉพาะของซัมซุงแปะอยู่บนถาดรองเครื่องพร้อมใช้งานเช่นเดียวกับ Note 5 โดยที่หัวเข็มเป็นขนาดมาตรฐานเหมือนยี่ห้ออื่น ทำให้ (ส่วนมาก) สามารถใช้เข็มจิ้มซิมร่วมกันได้
ด้านหน้าตัวเครื่องมาพร้อมหน้าจอ Super AMOLED ขนาดใหญ่ 5.7 นิ้ว ขอบจอโค้งลงทั้ง 2 ด้าน หน้าจอแสดงผลที่ความละเอียดระดับ Quad HD
ด้านหลังเป็นชิ้นเดียวกับตัวเครื่องทำให้ไม่สามารถถอดแบตเปลี่ยนได้ โดยรุ่นนี้ได้แบตเตอรี่ความจุ 3,000 มิลิแอมป์ เท่า Note 5 และ น้อยกว่า Note 4 ที่ให้แบตฯ มา 3,220 มิลิแอมป์)
กระจกหลังแทนที่จะเป็นเรียบ ๆ เหมือน S6 และ S6 edge ไม่โค้งเหมือน Note5 วัสดุเป็นกระจกเหมือน S6 แต่สีของมันโดดเด่นไม่เหมือนใคร เวลาสะท้อนไฟก็จะได้สีเทาเงินเฉดต่าง ๆ ตามสภาพแสงทำให้รู้สึกเหมือนมีมือถือหลายเครื่อง ^^
กล้องขั้นเทพ 16 ล้านพิกเซล เลนส์งาม ๆ f/1.9 พร้อมไฟแฟรช LED ที่คาดว่าใช้กล้องตัวเดียวกัน และ น่าจะถ่ายออกมาสวยชนะเลิศเหมือน Note 5 เพราะฮาร์ทแวร์ชุดเดียวกัน
ติดกันเป็นเซ็นเซอร์ตรวจวัดหัวใจที่ใช้คู่กับแอพฯ เพื่อสุขภาพต่าง ๆ และ สามารถตั้งให้เป็นชัตเตอร์ถ่ายภาพได้ด้วย
ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่มปรับเพิ่ม-ลดเสียง ที่ทำเป็นปุ่มแยกออกจากกัน ปุ่มแน่น กดง่าย
ตัวเครื่องเบากว่า และ บางกว่า Note 5 ในระดับที่ถือแล้วรู้สึกได้เลย…บางจริง ๆ นะ ขนาดใส่เคสซิลิโคนแล้วหนาเท่า Note 5 แบบเปลือย ๆ เลยนะแจ๊ ตรงนี้ประทับใจสุด
ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีเพียงปุ่ม Power เท่านั้น
สังเกตุว่าเราจะเห็นขอบจอด้านข้างทั้ง 2 ข้าง สวยงาม
ด้านหน้าส่วนบนมีลำโพงโทรศัพท์ตรงกลาง ขนาบด้วยกล้องหน้าความคมชัดระดับ 5 ล้านพิกเซลเลนซ์กว้างถ่ายเซลฟี่สวย ๆ โดยไม่ต้องยืดแขนจนสุด
ด้านหน้าส่วนล่างเหมือน Galaxy S6 คือ ตรงกลางเป็นปุ่มโฮม กดเพื่อกลับมายังหน้าหลัก พร้อมกับเป็นเซ็นเซอร์ตรวจจับลายนิ้วมือ / finger print scan รุ่นล่าสุดที่ใช้ทาบเอา
ด้านล่างของตัวเครื่องเหมือนกับ Note 5 และ S6 / 6 edge คือ ช่อง Micro USB ตรงกลาง ด้านขวามือเป็นลำโพงเสียงภายนอก รูกลมเล็กเป็นไมโครโฟนสนทนาโทรศัพท์ ส่วนรูกลมใหญ่ซ้ายสุดเป็นช่องเสียบหูฟัง
ด้านบนของตัวเครื่องเรียบ ๆ และ เป็นที่อยู่ของช่องใส่ซิม รูเล็ก ๆ อีกด้านหนึ่งเป็นรูไมโครโฟนสำหรับบันทึกเสียง
เอาเข็มจิ้มซิมมาจิ้มเข้าไปเบา ๆ ถาดใส่ซิมก็จะเด้งออกมา ส่วนซิมที่ใช้ก็เป็นขนาด Nano SIM ซึ่งคือซิมจิ๋วขนาดเล็กที่สุดในปัจจุบัน
แน่นอนมันมากับระบบ 2 ซิมนะจ๊ะ ส่วนเครื่องศูนย์ไทยที่จะเข้ามาจำหน่ายไม่รู้เหมือนกันว่าจะมาเป็นแบบกี่ซิม…เก็กซิม ^^
ช่องบนเป็น SIM1 ส่วนช่องล่างเป็น SIM2 ซึ่งจริง ๆ น่าจะทำแบบ Hybrid เหมือน Galaxy A8 เนอะ…เสียดาย
เวลาใส่ครบ 2 ซิมแล้วรูดหน้าจอลงมาจะมีแถบคำสั่ง SIM1 และ SIM2 เพื่อเลือกใช้งาน โดยเมนูด้านในเราสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ซิมไหนเป็นซิมหลัก ซึ่งสามารถรับสายซ้อนจากอีกซิมนึงได้ปกติ
ส่วนการเล่นเน็ตต้องเลือกว่าจะใช้ซิมไหนเล่นเน็ต โดยสามารถสลับไปมาได้จากหน้าเมนู
เมมในตัวมี 32 กิ๊ก เหลือให้ใช้งานจริงประมาณ 25 กิ๊ก ผมลงแอพฯ ไปหลายตัวกินพื้นที่ไป 2.56 กิ๊ก อย่าลืมว่าเพิ่มเมมโมรี่การ์ดไม่ได้นะจ๊ะ บริหารจัดการไฟล์กันให้ดี ๆ สำหรับคนที่ชอบเอาวีดิโอเก็บไว้ดู แต่ถ้าถ่ายรูป ถ่ายวีดิโอทั่วไปสบายหายห่วง
แรม 4 กิ๊ก ปิดแอพฯ ทั้งหมดแล้วเคลียร์แรมแล้วจะเหลือมากถึง 1.8 กิ๊ก เทียบ Galaxy S6 แรม 3 กิ๊กของผมเหลือใช้งานได้ 830 เมก และ Note 5 ที่มีเหลือใกล้เคียงกันที่ 1.7 กิ๊ก
การทำงานโดยรวมรู้สึกลื่นติดนิ้ว แรงกว่า S6 edge ตัวเล็กค่อนข้างชัด
เครื่องฮ่องกง มีภาษาไทย เมนูไทย แต่…….ไม่มีแป้นพิมพ์ไทย O_o!
แก้ไขไม่ยากด้วยการลงแอพฯ Keyboard ต่าง ๆ โดยผมเลือกใช้ Google Kayboard แล้วเลือกใช้ Eng กับ Thai พร้อมความสามารถพิมพ์ด้วยเสียง ^^
ฟีเจอร์ที่มากับขอบโค้งคือ สามารถรูดจากขอบเพื่อเรียก รายชื่อ ที่โทรบ่อย ๆ ได้
ตวัดไปอีกครั้งหนึ่งจะเป็นหน้าให้เราเพิ่มไอค่อนแอพฯ ที่ใช้บ่อย ๆ ไว้เพื่อความสะดวกในการเรียกใช้งาน
บทสรุปเบื้องต้น
หน้าตามันคือ S6 edge ขยายขนาด แล้วอัพไส้ในให้เทพที่สุด ทำให้ Samsung Galaxy S6 edge+ นั้นเป็นซัมซุงแรง เร็ว จอใหญ่ แต่บาง เบา สะใจ….และ แพงที่สุดในตลาดตอนนี้
ถามว่าชอบมั๊ย…ตอบว่า L O V E มาก เพราะผมไม่ใช้ปากกา
ข้อสังเกตุ
ไม่รู้ว่าเห่อของใหม่หรือเปล่า แต่สองวันแรกแบตเตอรี่ลดลงเร็วมาก ใช้งานได้ 10 ชั่วโมงก็เกือบไม่เหลือแล้ว วันต่อ ๆ รู้สึกว่า 50% แรกลดลงเร็ว แต่อีก 50% ที่เหลือทนมากกกกก โดยรวมแล้วเท่าที่ใช้งานไม่กี่วัน แบตฯ เหลือจนกลับถึงบ้านนะ แต่เสียวกว่า Note 5 ที่ให้แบตฯ มาที่ 3,000 มิลิแอมป์เท่ากัน
ตัวเครื่องร้อนเร็วกว่า Note5 แต่หายร้อนเร็วมาก หยุดใช้ไม่ถึงนาทีตัวเครื่องกลับมาเย็นเหมือนปกติ
อ้อ ร้าน Phonebooth ที่เซ็นทรัลเวิล์ด ชั้น 4 หน้า ธ. ออมสิน มีเคสมาขายแล้ว แต่ไม่มีกันรอยขาย
ส่งท้าย
เพื่อน ๆ ที่ชอบมือถือแนว ๆ ไม่เหมือนใครอย่าง S6 edge แต่คาใจเรื่องสเปค และ หน้าจอเหมือนผม เชื่อว่า S6 edge+ น่าจะตอบโจทย์ได้ดี
ขอให้มีความสุข สนุกกับชีวิต LifeStyle IT ครับ
_________________________________________________________________
หากเพื่อน ๆ ชอบเรื่องกิน เที่ยว และ รีวิวของผมที่ตรงไปตรงมา ไม่มีอวย
ฝากเพื่อน ๆ กด LIKE Facebook Fanpage ของผมเพื่อเป็นกำลังใจด้วยนะครับ