วันสุดท้ายของทริปสิงคโปร์ เช็คเอ้าท์แล้วยังพอมีเวลา..งั้นไปหาอะไรอร่อย ๆ หม่ำ และ เช็คของเล่นอีกสักนิดก่อนขึ้นเครื่อง
บทความชุด “เที่ยวสิงคโปร์ฉบับพ่อ-ลูก”
- เที่ยวสิงคโปร์ฉบับพ่อ-ลูก ตอนที่ 1 – เช็คโรงแรม ตึกของเล่น ดูของกิน Raffles City
- เที่ยวสิงคโปร์ฉบับพ่อ-ลูก ตอนที่ 2 – ว่ายน้ำชมปลากระเบนที่ Adventure Cove ต่อ Vivo City
- เที่ยวสิงคโปร์ฉบับพ่อ-ลูก ตอนที่ 3 เที่ยว Universal Studio แล้วไปซื้อของเล่น Funan IT Mall
เมื่อคืนจัดแจงแพ๊คกระเป๋าเสร็จพร้อมลุยวันสุดท้าย….พูดถึงเรื่องแพ๊คกระเป๋าคืนก่อนกลับ มีข้อแนะนำดังนี้
กรณีบินไฟลท์เช้า กะว่าไม่มีเวลาไปไหน ให้แพ๊คกระเป๋าให้พอดีกับของที่ต้องเก็บเพิ่มตอนเช้าอย่างชุดนอน และ อุปกรณ์ในห้องน้ำ จากนั้นเตรียมกระเป๋าขึ้นเครื่อง เช็คพาสปอร์ตให้พร้อม เคลียร์ตู้เซฟให้หมด
หากเป็นไฟลท์บ่าย หรือ ค่ำ มีแผนไปเดินเล่นต่อ เวลาจัดกระเป๋าให้เว้นที่ว่างเอาไว้ช่วงบนของกระเป๋า กะว่าถ้าไม่ได้ซื้ออะไรเพิ่มก็ไม่เป็นไร แต่หากซื้อของเพิ่มจะได้รู้ว่ามีพื้นที่เหลือเท่าไหร่ ซื้อของได้เพิ่มหรือไม่ ที่สำคัญเมื่อซื้อแล้ว ตอนเอามาเก็บลงกระเป๋าจะได้ไม่วุ่นวาย
ที่สำคัญถ้าเผื่อที่ไว้ ไม่ต้อง “ยัด” ของจะเสีย ขนมจะแตก กระเป๋า รองเท้าจะเสียทรงนะ ^^
ก่อนนอนอย่าลืมเช็คอินตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าผ่านแอฯ การบินไทย หรือ หน้าเวปบนมือถือ ค่อย ๆ ใช้เวลาเลือกที่นั่งให้ถูกใจ พรุ่งนี้ไปเช็คอินกระเป๋าจะได้ไม่เสียเวลา
ทริปนี้เน้นเที่ยวสวนสนุก ซื้อน้อยกว่าตอนไปฮ่องกง เลยแพ๊คง่ายเข้านอนเร็ว ตื่นเช้าขึ้นมาชวนลูกไปชิมอาหารเช้าแบบสิงคโปร์ซะหน่อย
เดินข้ามถนนจากโรงแรมไปก็จะเจอ Toast Box ทันที ช่วง 8 โมงเช้าที่นี่คนไม่เยอะมาก มีประมาณ 4 โต๊ะ แต่พนักงานก็น้อยตามไปด้วย รอประมาณ 10 นาทีจึงจะได้หม่ำขาวเช้า
คุณลูกลองข้าวผัดอินโดฯ (จำชื่อเต็ม ๆ ไม่ได้ละ) เครื่องเทศกลิ่นแรงนิดนึง แต่ลูกชายยังทานได้
สำหรับผม แน่นอนว่าต้องเป็นชุดกาย่าโทสต์ ประกอบด้วยกาแฟโบราณ ไข่ลวก และ ขนมปังสังขยาสไตล์มาเลย์/สิงคโปร์
โดยรวมอร่อยดีครับ แต่เทียบกับร้าน Killiney ที่สนามบิน ผมชอบที่สนามบินมากกว่าตามรีวิวด้านล่างนี้
xenon_art พาชิม: ห้ามพลาด Kaya Bread สุดอร่อยในสนามบินสิงค์โปรก่อนกลับบ้าน
กินข้าวเช้าเสร็จ กลับโรงแรมล้างมือ ล้างหน้าเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ลากกระเป๋าไปเช็คเอ้าท์ชิลด์ ๆ สัก 11 โมง
จุดหมายปลายทาง Suntec City Mall จากโรงแรม Carlton เดินไปแค่ประมาณ 400 เมตร หรือ แค่ 2 แยกไฟแดงเก็บบรรยากาศสิงคโปร์วันสุดท้ายที่ Suntec City Mall
คือระยะเดินไม่ไกลหรอก นั่งแท๊กซี่ก็ใกล้เกิ้น แต่พอเดินนี่บอกเลย “แดดเผามาก” T T
เดินหลบร้อนเข้า Suntec แล้วใช้ทางเชื่อมลอยฟ้าเข้าตึก Marina Shopping Mall จากฝั่งเข้าด้านตรงข้ามโรงแรม Marina Mandarin ก็เจอร้าน Teddy & Me หรือ จะเรียกร้าน Mr. Bean ตัวละครที่เด็กแนว ๆ ชอบทุกคนก็ได้ จัดการเติมพลังด้วยไอศครีมแก้ร้อนทันที ใครจะตามไปชิมถ้าถึง Marina Shopping Mall แล้วให้หาป้ายที่ชี้ไป Marina Mandarin Hotel เดินมาอยู่ตรงข้ามประชาสัมพันธ์พอดีเป๊ะ
ชิมติมเสร็จก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกสักนิด จากนั้นสาวเท้าเดินตรงไปต่อที่ทางแยกใหญ่ในตึก ใครไม่เคยไปอาจนึกไม่ออก แต่ถ้าได้ไปแล้วจะรู้เลยว่าในห้างเค้ามีสี่แยกใหญ่มาก ๆ อยู่แยกนึง แต่ละแยกจะพาไปโรงแรมต่าง ๆ และ ศูนย์ประชุม Suntec Convention Center
ตึกนี้มีส่วนที่เป็นช๊อปปิ้งมอลอยู่ 2 ชั้น เดินไม่ยาก ขึ้นไปชั้น 2 ก็จะเจอสตาร์บัค และ ร้านของเล่นเรียงกันอยู่ 2 ร้าน เป็นร้านเก๋ ๆ มีทั้งของแนว และ ของสะสม Hottoys, Bear Brick และ Gadget เก๋มากมาย
เช็คของเล่นกันพอหอมปากหอมคอ ไม่ได้ซื้ออะไรเพราะราคาแพงกว่าที่ China Square Central และ Funan เล็กน้อย แต่สำหรับคนที่มาประชุมแถว Suntec สั้น ๆ เวลาไม่เยอะ เดินแว๊ปจาก Suntec มา Marina Mall แค่ 5 นาที ถือว่าเป็นตัวเลือกสำหรับคนเวลาน้อย จ่ายแพงกว่านิดนึงแต่สะดวกกว่ามาก
เวลายังเหลืออีกเยอะ ดังนั้นกะว่าจะไปสำรวจ Toy R Us สาขา Suntec City Mall ซึ่งเป็นหนึ่งในอีกเจ็ดสาขาในสิงคโปร์ ดังนั้นเดินย้อนกลับไป Suntec ผ่านทางเชื่อมลอยฟ้าเช่นเคย
เดินตามทางเดินใน Suntec City Mall ตามโค้งขวาไปเรื่อย ๆ คุณลูกชายเตะตาร้านข้าวหมูแดงเป็ดย่าง Kay Lee หน้า Toy R Us เลยเรียกร้องขอชิมซะหน่อย
กินซูชิมาเกือบทุกมื้อ เห็นแบบนี้คุณพ่ออย่างผมร้อง “โล่งอก” ทันที
ข้าวหน้า BBQ 3 อย่าง ราดซอสหวานมาเสร็จสรรพ เมนูนี้อร่อยมาก (แอบยิ่งลูกกิน) โดยเฉพาะหมูกรอบ เนื้อนุ่ม หนังกรอบเค็มนิด ๆ กลิ่นไม้ที่อบหมูหอมเตะจมูก เป็นอีกรสชาติที่ต่างจากฮ่องกง แต่ประทับใจเหมือนกัน ส่วนหมูแดงนั้นอร่อยเหมาะกับคนไม่กลัวอ้วน เพราะชิ้นนึงนี่มันครึ่งเนื้อครึ่งกันเลยทีเดียว เป็ดย่างก็หอมนุ่มหนึบไม่เหนียว เรียกว่าทั้งจานนี้หาที่ติไม่ได้เลย
ส่วนผมขอชิมโจ๊กที่พนักงานเค้าแนะนำว่าร้านเค้าดังซะหน่อย หอมอร่อย เนื้อโจ๊กกำลังดี ไม่เหลว หรือ เหนียวเกินไป เทียบกับฮ่องกงแล้วผมว่าพอ ๆ กัน ชดเชยอาการอยากกินอาหารจีนได้เป็นอย่างดี
ซุบรากบัว หอมอร่อยอีกแล้ว กระดูกหมูในน้ำซุบเปี่อยยุ้ยแบบไม่ต้องเคี้ยวกันเลยทีเดียว นับว่าเป็น 2 เมนูที่ถูกปาก ถูกเวลา
ผมยังมีสั่งปาท่องโก๋ และ เกี๊ยวกุ้งทอดมาด้วยแต่ไม่อร่อยเลยไม่ได้อัพรูปให้เปลืองเน็ตเพื่อน ๆ 555
กินเสร็จแล้วก็เดินต่อไปจนสุดตึก Suntec City Mall ก็จะเจอ Toy R Us และ ร้านขายของเด็กเล็กร้านใหญ่ Kiddy Palace มีทั้งของเด็กอ่อน พวกรถเข็น เสื้อผ้า ของเล่นเสริมสร้างจินตนาการ รวมไปถึงของเล่นเด็กเล็กพวก เลโก้ตัวใหญ่ และ รถบังคับ
สำหรับ Toy R Us สาขานี้เท่าที่เดินดู (ลืมถ่ายรูป) น่าจะใหญ่อันดับ 3 ของสิงคโปร โดยอันดับหนึ่งผมยังให้สาขา Vivo City ทางผ่านสู่ Sentosa เป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุด มีของหลากหลายที่สุด
ใครมีเวลาไปเดิน Vivo ทีเดียวจบ แต่ถ้าไม่มีเวลา เน้นใกล้ ผมว่าสาขา Suntec นี้ใช้ได้เลย โดยเฉพาะของหายากบางอย่างที่สาขาอื่น ๆ หมดแล้วที่นี่ยังมี อย่าง Strom Trooper ด้านบนที่ประเทศไทยหมดไปนานแล้ว ฮ่องกงไม่ต้องหา สิงคโปร์เจอตัวเดียวที่ตึก Funan ราคา 115 เหรียญ แต่ที่ Toy R Us สาขา Suntec มีถึง 4 ตัว ราคาแค่ 79.95 เหรียญเอง
ซื้อปืน Nerf สังเวยไปอีก 1 กระบอก ก็นั่งแท๊กซี่ไปชิมไอศครีม Godiva ที่เค้าร่ำลือกันว่าอร่อยนักหนาที่ Takashimaya ซะหน่อย
จริง ๆ แล้วที่ Suntec City ก็มี Godiva นะ แต่เวลาเหลือเยอะ เลยพาลูกไปเปลี่ยนบรรยากาศ
นั่งแท๊กซี่จาก Suntec มาประมาณ 10 เหรียญ มุ่งหน้าลงชั้นใต้ดินก็จะเห็นร้าน Godiva เด่นเป็นสง่า ไอศครีมราคา 8 เหรียญ แพงเอาเรื่อง แต่ก็อะนะ แบรนด์เค้าเป็นช๊อคโกลาติเย่ร์ระดับโลก
ไอศครีมมีให้เลือก 3 รส คือ ช็อคโกแล็ต วนิลา และ ผสม อารมณ์เหมือนไอศครีมตามแผนกเครื่องเล่นบ้านเราเลย 555
รสชาติเข้มข้น ทว่ากลมกล่อมไม่หวาน บอกได้เลยว่าราคา 8 เหรียญ หรือประมาณ 208 บาทนี่ไม่แพงเลย กินกัน 2 คนพ่อ-ลูก โคนเดียวกำลังดี
กินติมไปพลาง เดินดูของกินชั้นใต้ดิน Takashimaya ไปพลาง สนุกดีเหมือนกัน พอดีกินกันอร่อยเลยไม่มีรูป (อีกแล้ว) เดิน ๆ ไปไม่รู้อะไรดลใจ เดินจนถึงแผนกของเล่นซะงั้น เท่าที่ดูแล้วนับว่าเป็นแผนกของเล่นที่ใหญ่พอสมควร อารมณ์เหมือนแผนกของเล่นพารากอนบ้านเราเลยครับ ส่วนราคาก็มาตรฐานใกล้เคียงกับ Toy R Us แต่มีของเล่นญี่ปุ่นเยอะกว่า ราคารับได้ครับ ถ้าเผอิญไปก็ซื้อติดมือให้ลูกไม่มีปัญหา แต่หากตั้งใจจะมาช๊อปของเล่น สิงคโปร์ ยังไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่เจ๋งเท่าฮ่องกง
กลับโรงแรม เอาปืนที่ซื้อเพิ่มใส่ในช่องที่เว้นไว้ในกระเป๋าพอดีสวย ๆ เรียกแท๊กซี่ไปสนามบิน 15 เหรียญ เนื่องจากเช็คอินผ่านมือถือมาแล้วขั้นตอนการออกตั๋ว และ เช็คกระเป๋าจึงง่ายรวดเร็วเพราะเรากำหนดที่นั่งไว้แล้ว
ผ่าน ตม. ไปแบบไม่มีการสแกนกระเป๋าเหมือนสนามบินอื่น ๆ ในโลก โดยที่นี่เค้าจะสแกนกระเป๋าที่หน้าเกท / Gate ขึ้นเครื่อง ทำให้ขั้นตอนสะดวกรวดเร็วแค่ 1 นาทีก็ได้เข้าไปเดินเล่น Duty Free แล้ว
Duty Free ที่นี่ก็จะมีแบรนด์ระดับโลกเหมือนที่อื่น ๆ แต่ที่พิเศษคือจะมีร้านขนม และ ของกินพื้นเมืองสิงคโปร์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นหมูหวาน ขนมเค้กสไตล์มาเลย์ รวมถึงร้านอาหารอร่อย ๆ ที่ต้องกินทิ้งทวนก่อนกลับ
ในส่วนของร้านอาหารมีการปรับปรุงพื้นใหม่ ย้ายร้านอาหารที่คล้าย ๆ ฟู๊ตคอร์ทชั้น 1 ไปอยู่ชั้น 2 ผ่านช่องตรวจหนังสือเดินทางแล้วเลี้ยวขวาเดินไปเรื่อย ๆ
ถึงร้าน Hermes ซ้ายมือปุ๊ปก็จะเจอบันไดเลื่อนขึ้นไปชั้น 2 หรือ จะเรียกชั้นลอยก็ได้
ขึ้นไปด้านบนจะรวบรวมร้านอาหารอร่อย ๆ ถึง 5 ร้านด้วยกัน
ร้าน Killiney ปรับปรุงใหม่สะอาดสะอ้าน มีโต๊ะนั่งเป็นของตัวเองเรียบร้อยกว่าเมื่อก่อนที่ใช้โต๊ะรวมเหมือนฟู๊ตคอร์ท ซื้อแล้วแย่งหาที่นั่งกันเอง เป็นสัดเป็นส่วนแบบนี้รู้สึกกินได้สบายใจกว่า
หันขวาพาลูกไปกินเบอร์เกอร์ และ สเต็คอร่อย ๆ ที่ร้าน O’Learys ส่งท้ายทริปสวย ๆ เป็นมือเย็นก่อนขึ้นเครื่องซะหน่อย เพราะคาดว่าอาหารคงไม่ถูกปากลูกเหมือนขามา เดี๋ยวจะหิวเพราะไฟลท์ผมกลับตั้งสองทุ่ม
ร้านนี้เป็นอีกหนึ่งร้านโปรดที่ต้องแวะทานทุกครั้งที่มีโอกาศ เป็นร้านสไตล์ไอริชผับ แต่จริง ๆ แล้วดั้งเดิมอยู๋ที่บอสตั้น (มั๊ง) คือ เป็นอเมริกันเลยหล่ะ ดังนั้นอาหารฝรั่งที่นี่จึงรสชาติเข้มข้นไม่ปนกลิ่นอายเอเชีย…ได้ชิมรสชาติแท้ ๆ แน่นอน
ปีกไก่ทอด หรือ ที่เรียกติดปากว่า Buffalo Wing หนังกรอบ เนื้อนุ่ม ซอสเผ็ดกำลังดี เมนูอร่อยที่หากินไม่ค่อยได้
ต่อด้วยอาหารจานหลัก สเต็คสันนอกปรุงแบบ Medium Well ด้านนอกสุก ด้านในก็สุกแต่ยังอมชมพูคงความชุ่มนุ่มน้ำเนื้อ กินเสร็จ “จุก” และ พร้อมขึ้นไปนั่งอืดบนเครื่อง 555
ขอบคุณลูกจัด Cheese Burger เมนูโปรดล่าสุดเพราะเพิ่งหัดกินชีสเป็น O_o#
แน่นอนว่าร้านสไตล์นี้เบอร์เกอร์ต้องเสริมมาพร้อมเนื้อชิ้นโตคุณภาพเยี่ยมพร้อมชีสเยิ้ม ๆ สไตล์อเมริกัน กันเข้าไปคำแรกรู้สึกถึงความชุ่ม และ หอมของเนื้อบดได้ทันที
นับว่า O’Learys เป็นร้านเทพที่ตั้งอยู่ในสนามบิน เหมาะสำหรับนักเดินทางที่เบื่ออาหารจีน พร้อมอยากกินให้อิ่มก่อนขึ้นเครื่อง แต่หากคุณไม่หิวเท่าไหร่นัก อยากแค่รองท้องผมแนะนำให้ปิดทริปด้วย Kaya Bread หรือ ขนมปังสังขยาสไตล์สิงคโปร์ที่ Killiney ตรงข้ามกันนี่เอง
กะเวลาก่อน borading สัก 10 นาทีก็เดินไปยังเกทของเรา เตรียมตัวสแกนกระเป๋า และ ผ่านระบบรักษาความปลอดภัย จากนั้นขึ้นเครื่องกลับบ้านแบบมีความสุข
วันสุดท้ายของการเดินทาง หลายคนรีบไปสนามบิน หลายคนเดินชิลด์ ๆ ซึ่งก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน แต่หากเดินทางสไตล์ครอบครัวที่เน้นความสบาย ผมแนะนำให้ถึงสนามบินก่อนสัก 2 ชั่วโมงครึ่ง จะได้มีเวลาเดิน พาลูกทานอาหาร เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย ส่วนใน Duty Free สิงค์โปรก็ไม่มีอะไรให้ช๊อปมากนัก เดินสัก 30 นาทีก็ทั่วแล้ว
สำหรับผมทริปนี้เรียกได้ว่าเป็นโปรแกรมของลูกล้วน ๆ 4 วัน 3 คืน ฉบับพ่อ-ลูก เที่ยวกันสองคน เน้นกินดี อยู่สบาย เดินทางสะดวก ไม่ประหยัดใด ๆ ทั้งสิ้น คือ นั่งแท๊กซี่ตลอด ทำให้การตะลุยสิงคโปร์ครั้งนี้คุณพ่อไม่เหนื่อยมาก กลางคืนยังนั่งทำงานเอกสารได้ ระหว่างนั่งแท๊กซี่ก็ตอบอีเมลล์สั้น ๆ ผ่านสมาร์ทโฟนได้ ทำงานไปด้วย เที่ยวชิลด์ไปด้วย หากใครบอกที่คิดว่าไม่มีเวลาให้ลูก ลองทำงานไปด้วยเที่ยวไปด้วยสักครั้งแบบผม จะรู้ว่าเวลานั้นมีมากมายถ้าเราบริหารเป็น โดยเฉพาะบางอย่างไม่จำเป็นต้องประหยัด บางอย่างควรจ่ายเพื่อซื้อเวลา
หวังว่าบทความทั้ง 4 ตอนจะสร้างความสุข และ รอยยิ้มให้เพื่อน ๆ เหมือนผม และ ลูกชาย ใครจะตามรอยไปเที่ยวไม่ว่าจะเป็นฉบับ พ่อ แม่ ครอบครัว หรือ วัยรุ่น มีอะไรสอบถามได้นะ จะพยายามตอบเท่าที่รู้
ขอให้มีความสุข สนุกกับชีวิต LifeStyle IT ครับ
_________________________________________________________________
หากเพื่อน ๆ ชอบเรื่องกิน เที่ยว และ รีวิวของผมที่ตรงไปตรงมา ไม่มีอวย
ฝากเพื่อน ๆ กด LIKE Facebook Fanpage ของผมเพื่อเป็นกำลังใจด้วยนะครับ