ตอนแรกของ “ไตรภาครีวิว” ของเล่นสุดแรง ซัมซุง Galaxy Note Edge ที่ทำเอา Note 4 ดูเอ้าท์ไปทันทีด้วยนวตกรรมหน้าจอแสดงผลที่ขอบเครื่อง
ขายที่ญี่นที่แรกของโลกไปแล้วกับ Samsung Galaxy Note Edge จากบทความ พรีวิว Samsung Galaxy Note Edge สัมผัสแรกจากญี่ปุ่น และวันนี้เครื่องหิ้วมาบุญครองก็ลัดฟ้าข้ามทะเลมาให้คนไทยใจถึงได้สัมผัสกันแล้วกับค่าตัวมหาโหดทะลุสามหมื่นบาท O_o!
xenon_art กัดฟันสอยมาให้หายอยากเรียบร้อย สามหมื่นกว่าบาท ซึ่งคาดว่าเป็นเครื่องสิงค์โปร พร้อมจัดรีวิวมาให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันแล้ว
เดี๋ยวก่อนนะ….ใครไม่รู้จัก Note Edge บ้าง
มันคือ Galaxy Note 4 ที่ใช้หน้าจอโค้งถึงขอบด้านซ้ายมือ สเปคส่วนใหญ่ก็จะเหมือน Note 4 รุ่นซีพียู Snapdragon ที่บ้านเราไม่เอาเข้ามาขายนั่นเอง
สเปค Samsung Galaxy Note Edge
- ขนาด 151.3 x 82.4 x 8.3 มม.
- หนัก 174 กรัม
- หน้าจอ 5.7 นิ้ว Quad HD Super AMOLED ความละเอียด 2,560 x 1,440 พิกเซล
- ซีพียู Snapdragon 805 Quad Core 2.7 กิ๊ก
- แรม 3 กิ๊ก
- พื้นที่หน่วยความจำในตัวเครื่องมีให้เลือกระหว่าง 32 กิ๊ก หรือ 64 กิ๊ก
- มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android Kitkat 4.4
- กล้องหลัง 16 ล้านพิกเซล พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว (OIS) ดิจิตอลซูม 8 เท่า
- กล้องหน้า 3.7 ล้านพิกเซล
- เพิ่มเมมได้สูงสุด 64 กิ๊ก
- รองรับ LTE
- แบตเตอรี่ความจุ 3,000 มิลิแอมป์
ส่วนคำถามว่าไทยจะเอาเข้ามั๊ย? บอกเลยว่า…ไม่รู้ และ อาจจะไม่เข้าด้วยซ้ำ
แล้วถ้านำเข้ามา เครื่องศูนย์ไทยจะราคาเท่าไหร่ บอกเลยว่า…..ไม่รู้เช่นกัน แต่เดาว่าน่าจะแพงกว่า Note 4 ประมาณ 3 – 4 พันบาท ก็น่าจะตกที่ 29,900 บาท
โอ้วพระเจ้า ราคานี้ซื้อ iPhone 6 Plus ไปเลยดีมั๊ย? อยากรู้ อยากตัดสินใจก็มาชมไตรภาครีวิว Galaxy Note Edge ของผมประกอบการตัดสินใจแล้วกัน เริ่มจากแกะกล่องกันเลยครับ
ด้านหน้ากล่องใช้การออกแบบแนวเดียวกับ Galaxy Note 4 ทั้งสีสรรและขนาด ต่างกันตรงที่หน้ากล่องเปลี่ยนจากเลข 4 เป็นตัว E ที่แสดงถึงรุ่น EDGE
ด้านหลังมีสเปคคร่าว ๆ ให้ดูพอสังเขป
อุปกรณ์ในกล่อง (เครื่องนอก) ประกอบด้วย
- ตัวเครื่อง + ปากกา S Pen
- แบตเตอรี่
- ใบรับประกัน
- Quick Start Guide
- สายดาต้า / ชาร์จ
- อะแดปเตอร์ชาร์จไฟบ้าน
- หูฟัง
- ซิลิโคนสำรองต่างขนาด 2 คู่
- หัวปากกา S Pen สีเทา 2 อัน สีขาว 3 อัน
- แหนบคีบเปลี่ยนหัวปากกา S Pen
สายดาต้าเอาไว้เชื่อมต่อกับคอมเพื่อโอนถ่ายข้อมูล หรือ จะเอาไปประกอบกับอะเดปเอตร์เพื่อชาร์จไฟก็ได้ งานนี้ซัมซุงแพคมาอย่างหรูด้วยโครงพลาสติคที่ยึดสายดาต้าให้เรียงกันอย่างเป็นระเบียบสวยงาม
หัวชาร์จไฟบ้านที่จ่ายไฟด้วยแรงดัน 2A ซึ่งใกล้เคียงกับหัวชาร์จ iPad เพื่อให้การชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ขนาด 3,000 มิลิแอมป์เป็นไปอย่างรวดเร็ว
หากใครเอาสายชาร์จสมาร์ทโฟนรุ่นอื่น ๆ มาชาร์จก็สามารถทำได้แต่พวกรุ่นเก่า ๆ ที่จ่ายไฟไม่แรงต้องชาร์จนานกว่าจะเต็ม
หูฟัง สมอล์ทอล์ค แบบ InEar สีเงินเงาแว๊บบบบสวยงาม
ซิลิโคนหูฟังสำหรับเปลี่ยนสำรองอีก 2 คู่ 2 ขนาดตามสรีระของแต่ละคน
แหนบ หรือ คีมคีบ มาในแพ๊คพร้อมหัวปากกาสำรองเอาไว้เปลี่ยนอีก 5 อัน เป็นสีขาว 3 อัน สีเทา 2 อัน ส่วนตัวผมจากประสบการณ์ของ Note 3 บอกเลยว่าไม่ค่อยได้ปากกามากนัก หัวเลยไม่เคยเสีย
ตัวเครื่องขนาดพอ ๆ กับ Note4 งานประกอบดีเยี่ยม ถือจับกระชับมือ ด้วยน้ำหนักแล้ว Note Edge จะเบากว่า Note 4 อยู่ 2 กรัม อันเนื่องมาจากขอบโลหะที่มีเพียง 3 ด้าน บอกตรง ๆ ว่าความต่างเพียง 2 กรัมนี่ไม่รู้สึกเลย
เจ้า Note Edge ตัวนี้ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง QualComm Sanpdragon 805 ตัวล่าสุดของโลก ซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่ใช้ใน Note 4 เมืองนอก ต่างกับของไทยที่ใช้ ซีพียู Exynos แบบ OctaCore ของซัมซุง
หน้าจอ Quad HD+ ความละเอียด 2,560 x 1,440 พิกเซล คมชัดสวยงามสะใจ….จอมันสุดยอดมากขอบอก
แน่นอนจุดเด่นของ Note Edge คือ หน้าจอที่มีขอบด้านซ้ายมือโค้งลงมาแทนขอบเครื่อง ซึ่งหน้าจอเป็นชิ้นเดียวกันทั้งหมด ทำหน้าที่เป็นจอแสดงผลแยกต่างหากที่เอาไว้ใส่ไอค่อนแอพฯ ต่าง ๆ เพื่อให้เรียกใช้งานได้อย่างสะดวก
นอกจากนี้ยังสามารถแสดงข้อมูลต่าง ๆ ได้มากมายไม่ว่าจะเป็นการเตือนต่าง ๆ รวมถึงแสดงข้อความ sms ด้วย แน่นอนว่าตอนนี้ใช้ได้เฉพาะแอพฯ ของซัมซุงเท่านั้น ซึ่งในอนาคต (อีกนาน) คาดว่าน่าจะมีแอพฯ ที่รองรับ
ขอบตัวเครื่องอีกด้านขวาป็นสันเฟรมโลหะเรียบ ๆ หรูสีเดียวกับตัวเครื่อง
ปุ่มปรับเพิ่ม – ลดเสียงถูกย้ายมาอยู่ฝั่งนี้เพราะอีกฝั่งไม่มีที่แล้วจ๊ะ มีแต่หน้าจอเต็มพื้นที่
ด้านหลังยังคงใช้ DNA ของตระกูล Note นั้นคือ พลาสติคปั๊มลายหนังซึ่งแม้จะไม่ไฮโซเหมือนใช้หนังจริง ๆ แต่ดูแลรักษาง่าย แถมเบากว่าเยอะ หากยังจำกันได้ผม “จิกกัด” ซัมซุงเรื่องฝาหลังหนังปลอมขี้โม้นี้มาตลอด แต่สุดท้ายก็ติดใจเพราะมันทนทานมากกกกกก
กลัองหลัง 16 ล้านพิกเซล จะเทพแค่ไหนเดี๋ยวลองดูอีกทีพร้อมปะทะ iPhone 6 Plus ให้ดูด้วย
ใต้กล้องก็จะเป็นไฟแฟรช LED พร้อมเซ็นเซอร์สารพัดประโยชน์ ทั้งเอาไว้ตรวจอัตราการเต้นของหัวใจ การใช้เป็นปุ่มถ่ายรูปกล้องหน้าให้ได้ภาพ Selfie สวย ๆ หรือ ล้ำขนาดที่เปิดแอพฯ S Healthe แล้วส่องเซ็นเซอร์ไปทางพระอาทิตย์เพื่อวัดค่า UV ในแสงแดด….โอ้ว มาย ก๊อด
เปิดฝาหลังออกมาก็จะเจอแบตเตอรี่ขนาด 3,000 มิลิแอมป์ ซึ่งน้อยกว่า Note 4 ที่ให้มา 3,220 มิลิแอมป์ งานนี้คงต้องลองกันดูว่าหน้าจอที่แสดงผลเยอะกว่าแต่แบตน้อยกว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน
ช่องใส่เมมแบบ MicroSD และ ช่องใส่ซิมขนาด Micro Sim ขนาดปกติของสมาร์ทโฟนแอนดรอย์ทั่วไป
ด้านบนของตัวเครื่องมีช่องเสียบหูฟัง และ ปุ่ม Power ที่เดิมเคยอยู่ขอบเครื่องด้านซ้าย แต่ด้วยหน้าจอที่โค้งไปทางซ้ายทำให้ต้องย้ายปุ่ม Power มาไว้ด้านบน
ด้านล่างของตัวเครื่องที่เห็นรูเล็ก ๆ 2 รูปขนาบช่องเสียบสายดาต้านั่นคือไมโครโฟน 2 ตัวที่จะทำให้การอัดเสียง และ การสนทนาโทรศัพท์ทำได้อย่างชัดเจนกว่าเดิม
มาพร้อมปากกา S-Pen รุ่นใหม่ล่าสุดเช่นเดียวกับ Note 4 ทั้งฟีเจอร์ และ ลูกเล่นต่าง ๆ มาครบ ๆ
ลำโพงเสียงภายนอกอยู่เหนือช่องเสียบปากกา เสียงดังลั่นเลยครับ
ก็เท่าที่ลองเล่นได้ 1 วัน 1 คืน ความรู้สึกแรกคือ งานประกอบดีมากกกกกก ตัวเครื่องแน่นหนาแข็งแรง หน้าจอที่เคย “มโน” ว่าจะเป็นจุดอ่อนสำคัญแต่จากการ (แอบ) เคาะ ๆ ดู หน้าจอแข็งแรงกว่าที่คิดเยอะ ไม่รู้สึกว่าเปราะบางเลย ซึ่งถ้าหล่นจริง ๆ ก็คงแตกนั่นแหละ
ด้านหน้ามาพร้อมกล้องขนาด 3.7 ล้านพิกเซล พร้อมระบบ Beauty Mode และ Wide Selfie ที่จะทำให้การถ่ายกล้องหน้าได้ภาพกว้างขึ้นโดยการหมุนกล้องขณะถ่าย อารมณ์เหมือนถ่ายแบบพาโนรามาของกล้องหลัง ทำให้สามารถเก็บบรรยากาศได้เต็มที่กว่า ได้วิวที่กว้างยิ่งขึ้น ที่สำคัญยัดเพื่อนเข้าไปได้เยอะกว่า
ปุ่มโฮมพร้อมระบบจดจำลายนิ้วมือ ใช้ปลดล็อคหน้าจอ และ เรียกใช้ Private mode ที่สามารถซ่อนภาพลับได้แบบไม่มีใครรู้ อิ อิ อิ
ปุ่มทางซ้ายรูปไอค่อนสี่เหลี่ยมเป็นปุ่มเรียกโปรแกรมที่ใช้งานค้างอยู่ ตามสไตล์ Android KitKat ช่วยให้เราสลับใช้แอพฯ ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และ สามารถปิดแอพฯ ที่เปิดค้างไว้ได้ด้วยปุ่มเดียว
จากที่ได้สัมผัสอีกครั้งแบบ “มันเป็นของเราแล้ว” ความรู้สึกแรกเลยคือ มันเบา และ บางไม่ต่างกับ Note 4 ตัวเก่งของผมเลย ความกังวลว่าขอบจอด้านข้างจะทำให้รู้สึกเทอะทะนั้นไม่มีเลยครับ แถมยังเบาถือสบายมือ
ด้วยความที่มีขอบเพียง 3 ด้าน น่าจะเป็นปัญหาด้านความปลอดภัยของตัวเครื่อง และ การติดฟิลม์กันรอยพอสมควร ตอนนี้ยังหาฟิลม์ และ เคสไม่ได้….xenon_art ต้องใช้งานด้วยความระมัดระวังเยอะกว่าปกติ
อนาตคคงต้องไปหาซื้อเคสฝาพับแท้ของซัมซุง ไม่ก็คงต้องหาเคสอื่น ๆ จาก ebay มาใส่ โดยเทาที่เห็นตอนนี้ก็มี incipio ที่ออกเคสยางผสมโลหะออกมาค่าตัว 49.99 เหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 1,500 บาท
เอาหล่ะร่ายมาซะยาวเลย เดี๋ยวขอไปเล่นให้หนำใจแล้วจะรีบทำรีวิวภาคต่อไปมาให้อ่านเร็ว ๆ นี้ ทิ้งท้ายด้วยภาพสวย ๆ ของ Note Edge ครับ….บ๊ายบาย
ขอให้มีความสุขกับชีวิต LifeStyle IT ครับ
รีวิวอื่น ๆ ของ Samsung Galaxy Note Edge
- รีวิวทดสอบกล้อง Galaxy Note Edge ว่ามันถ่ายสวยแค่ไหน
- รีวิวภาคจบ Samsung Galaxy Note Edge บทสรุปการใช้งาน [ชมคลิป VDO]
_________________________________________________________________
หากเพื่อน ๆ ชอบเรื่องกิน เที่ยว และ รีวิวของผมที่ตรงไปตรงมา ไม่มีอวย
ฝากเพื่อน ๆ กด LIKE Facebook Fanpage ของผมเพื่อเป็นกำลังใจด้วยนะครับ
ซัมซุงกาเล็คซี่ note edge กับ ซัมซุงกาเล็คซี่ note 4 ซื้อ เครื่องไหนดีคะ
ชอบจอโค้งที่ขอบหรือเปล่าครับ ถ้าเฉย ๆ ใช้ Note 4 น่าจะเหมาะสมกว่า ไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพิ่ม ^^
สอบถามค่ะ ตอนนี้ใช้ note 3 คิดว่าจะเปลี่ยนเครื่องใหม่รอเป็น note 5 แต่เพื่อนว่า จะไม่มีรุ่น note ออกมาแล้ว จริงหรือเปล่าคะ ไม่งั้นจะได้เปลี่ยนเป็น note edge อ่ะ ^^
ซัมซุง ไม่เคยประกาศว่าจะหยุดรุ่น Note นะครับ แถมเป็นรุ่นที่ขายดีมาก ๆ ด้วย ผมว่าเค้าคงไม่เลิกหรอกครับ
ขอบคุณค่ะ ^^
ขอบเป็นเฟรมโลหะเหมือนกับของ Note 4 รึเปล่าคะ? มีปัญหาเรื่องขอบลอกไหมคะ
ขอบคุณมากๆครับ สำหรับการรีวิว เป็นกำลังใจให้ครับ
ขอบคุณมากครับ ^^