บันทึกการเดินทาง “ตะลุยอเมกา” ตอนที่ 2 นี้เป็นวันแรกของการเดินทางอันแสนยาวนาน มาดูกันว่าทำอะไรไปบ้าง และ ขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองมันเปลี่ยนไปอย่างไร
การเข้าสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของผม ซึ่งเค้าเป็นหนึ่งในประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องความยาก และ เรื่องมากในการผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง
แต่ปีนี้มันเปลี่ยนไป เอ๊ยังไง
มันง่ายขึ้นครับ ง่ายจนเรียกได้ว่าง่ายกว่าเข้าประเทศไทยอีก….ห่ะ!!!
คราวนี้ใช้บริการสายการบิน อิมิเรตส์ (Emirates) ลัดฟ้าผ่านนิวยอร์ค เพื่อเปลี่ยนเครื่องต่อไปยัง ออแลนโด จุดหมายปลายทางแรกของทริปนี้
ทุกคนที่เข้าอเมริกา ไม่ว่าจะไปเมืองไหนก็ตาม “จะต้อง” ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง (Immigration) และ ผ่านด่านศุลกากร (Customs) ที่เมืองแรก ไม่ว่าเมืองนั้นจะเป็นจุดหมายปลายทางหรือเป็นเพียงการเปลี่ยนเครื่อง (Transit / Connecting Flight) เหมือนกรณีของผม โดยปกติประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้ จะมีเอกสารให้กรอกสำหรับยื่นตอนผ่าน Immigration โดยของ อเมริกา เรียกว่า ฟอร์ม I-94
แต่คราวนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง เพราะเค้ายกเลิกการใช้แบบฟอร์มไปเรียบร้อย เราเพียงกรอกใบ Custom เพื่อสำแดงว่ามีของต้องห้ามหรือไม่เท่านั้น เฮ้ยยยยย ง่ายกว่าออกจากไทยอีก
ขั้นตอนไม่ยาก ทำหน้าเท่ห์ ๆ ยื่นพาสปอร์ตที่มีวีซ่า พร้อมเอกสารใบ Custom form ที่กรอกเรียบร้อยให้กับพนักงาน
ยังไงก็ต้องเอากระเป๋าออก แล้วเช็คเข้าไปใหม่ ดังนั้นเตรียมตัวไว้ได้เลย และ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ตอนจองตั๋วเครื่อวบินต้องเผื่อเวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมงครึ่งสำหรับขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง รอกระเป๋าที่สายพาน ผ่านศุลกากร เอากระเป๋าไปเช็คเข้าเครื่องใหม่ และ ที่น่าเบื่อที่สุดคือการไปเข้าคิวผ่านเครื่องแสกนกระเป๋าใหม่ น้ำดื่ม ของเหลว ของมีคม ทิ้งให้หมดครับ และ ต้องถอดรองเท้าด้วย พาสปอร์ตแนะนำว่าอย่าใส่กระเป๋ากางเกง ให้ถือไว้ เพราะหน้าตาเอเชียเท่ห์ ๆ อย่างพวกเรามักจะถูกเรียกให้ผ่านเครื่องสแกน และ ไอ้ passport ในกระเป๋ากางเกงจะทำพิษทำให้โดนค้นตัว
เมื่อผ่านขั้นตอนทุกอย่าง และ เข้ามาที่ Gate ใหม่แล้วก็เดินดูของซะหน่อย
สินค้าไอทีที่ร้านค้าในสนามบินแพงกว่าบ้านเรา หรือ อย่างเก่งก็พอ ๆ กัน แต่มาแล้วก็ควรจะแวะดูซะหน่อยเผื่อมีอะไรโดน
ระหว่างรอต่อเครื่องจาก นิวยอร์ค ไป ออแลนโด ก็รองท้องกันง่าย ๆ ซะหน่อยโดยผมเลือกหม่ำแฮมเบอร์เกอร์
เล็งได้ร้านนี้แหละ Cheeburger Cheeburger
ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ หากใครเจอแล้วเลี่ยงได้ก็เลี่ยง ๆ ไปนะครับ
พอถึง ออแลนโด ก็จัดการรับรถคันเก่ง โดยผมให้เค้าชาร์ตค่าน้ำมันไว้ก่อนเลย 65 เหรียญ เพื่อความสะดวกในตอนคืนรถไม่ต้องเติมน้ำมันคืนเค้า เพราะที่นี่ปั๊มจะเป็นแบบบริการตัวเอง เอารถเข้าไปจอดที่หัวจ่าย แล้วรูดบัตรเครดิต จากนั้นใส่ pin ของเรา…..อ๊ะ!!! บัตรผมไม่มี pin
ถ้าไม่มีพิน ต้องเดินไปจ่ายเงินในร้าน ระบุหัวจ่ายที่ต้องการ พร้อมจำนวนที่ต้องการเติม….ยากไปหน่อยนะสำหรับนักท่องเที่ยวเดินทางขำ ๆ 3 วัน
ดังนั้นให้เค้าเก็บค่าน้ำมันล่วงหน้าไปเลยจะได้สบาย และ ไม่ต้องกังวลมากนัก เอาเวลาไปเที่ยวดีกว่า
เช็คอินโรงแรมเสร็จปุ๊ป ก็ไปลงทะเบียนเข้างาน Blackberry Live 2013 เอาบัตรห้อยคอมาเก็บให้อุ่นใจไว้ก่อน
ต่อมาก็ภารกิจ หม่ำ ๆ ๆ โดยประเดิมจากสเต็คร้านโปรดของผมกันก่อน Longhorn Steak House ขับจากโรงแรมไปไม่ถึง 10 นาที (รถไม่ติด ไม่มีแว๊น ให้เสียวเวลาเลี้ยว)
สเต็คที่นี่อร่อยมากกกก แต่จะสุดแค่ไหน รอชมรีวิว xenon_art พากิน อีกครั้งนึงนะ
กินเสร็จก็ไปตะลุยซื้อของที่ Walmart ตามคำสั่งท่าน ผบ. ที่บ้านซึ่ง BBM ลิสต์มาให้เรียบร้อย
ไม่ต้องสงสัยนะว่าทำไมมาขน กระดาษเปียก (เช็ดก้นเด็ก) แป้งเด็กจอห์นสัน และ สบู่อาบน้ำเด็ก
เพราะว่ามันดีกว่าของบ้านเรา แถมราคายัง……
ราคาเบา ๆ เพียงเท่านี้เองครับ แป้งเด็ก 3.96 เหรียญ (ยังไม่รวมภาษี) ได้กระป๋องใหญ่ แถมเนื้อเนียนกว่าซื้อบ้านเราเยอะ
กระดาษเปียกกล่องยักษ์ 340 แผ่น 9.94 เหรียญ (ยังไม่รวมภาษี) ตกสามร้อยกว่าบาท ที่สำคัญใช้แล้วไม่ค่อยเป็นผื่นด้วย
เอาไว้เดี่ยวจะอัพเดทราคาของเด็กที่ อเมริกา ให้แบบเต็ม ๆ 1 บทความนะครับ พ่อลูกอ่อน หรือ แม่ลูกอ่อน เตรียมเสพกันได้เลย
บันทึกการเดินทางของผมตอนที่ 2 ก็จบแต่เพียงเท่านี้ ไปนอนก่อนนะ
ติดตามตอนต่อไปเร็ว ๆ นี้
__________________________________________________________________________
หากเพื่อน ๆ ชอบเรื่องกิน เที่ยว และ รีวิวของผมที่ตรงไปตรงมา ไม่มีอวย ฝากเพื่อน ๆ กด LIKE Facebook Fanpage ของผมเพื่อเป็นกำลังใจด้วยนะครับ
[…] […]
[…] […]
[…] […]
[…] […]
[…] […]
[…] […]