กลับมาแล้วจร้า หลังจากหายหัวไปเที่ยวญี่ปุ่นมา 6 วัน สนองความอยากของครอบครัวปิดท้ายก่อนเปิดเทอมของลูกชายที่กำลังจะขึ้น ป. 1
xenon_art เก็บเรื่องราวท่องเที่ยวฉบับครอบครัวมาฝากกันเหมือนเดิม ประเดิมตอนแรกกับความประทับใจในการตัดสินใจนอนทั้ง 5 คืนที่ “โอไดบะ”
จากที่มีตั๋วราคาพิเศษแลกไมล์ครึ่งราคาของการบินไทย บันทึกท่องเที่ยว: โอ้วพระเจ้า การบินไทยจัดโปรโมชั่นตั๋วแลกไมล์ไปญี่ปุ่นครึ่งราคา แบบนี้ไม่ไปไม่ได้แล้ว
xenon_art ก็ไม่รอช้าจัดแจงแลกไมล์พาครอบครัวเฮฮาไปย่ำญี่ปุ่นทันที โดยทริปนี้ไปกันแบบไม่มากไม่น้อย 6 วัน 5 คืนพอดี ๆ โดยออกเดินทางจากสุวรรณภูมิคืนวันที่ 31 กรกฏาคม ไปถึงสนามบินนาริตะ ประมาณ 8 โมงเช้า เรียกว่านอนบนเครื่องประหยัดเวลาไปได้มาก หากครอบครัวไหนฟิต ๆ ก็สามารถเริ่มต้นเที่ยวได้ทันที
ตอนแรกเลย พยายามหากโรงแรมในชินจูกุ เหมือนที่เคยไป แต่คราวนี้โรงแรมที่ตั้งใจไว้อย่าง Shinjuku Prince ดันไม่มีห้องใหญ่ว่างสำหรับครอบครัวของเราที่เดินทางแบบผู้ใหญ่ 1 เด็ก 7 ขวบคนนึง และ ลูกน้อยวัย 3 เดือน
หาไปหามาก็ถอดใจ เลยของของแปลกไปนอนที่ “โอไดบะ” เมืองท่องเที่ยวที่คนนิยมไปกัน เอาหล่ะมาเริ่มเที่ยวไปกับผมเลย
เที่ยวบินไปญี่ปุ่นของสายการบินไทยนั้นมีรอบ 4 ทุ่มกว่า ไปถึงนาริตะ 7 โมงเช้า กับ 5 ทุ่มกว่า ไปถึงนาริตะ 8 โมงเช้า และ เนื่องจากผมใช้ตั๋วแลกไมล์ เที่ยวบิน 5 ทุ่มเต็มเลยต้องไปเที่ยว 4 ทุ่มกว่า
ขาไปนั่ง Business Class Boeing 777 นั่งสบาย บริการดี ตามแบบของการบินไทย
ไปถึง นาริตะ ประมาณ 7 โมง ใช้เวลาผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง และ รับกระเป๋าประมาณเพียง 20 นาทีเอง เนื่องจากเดินทานพร้อมเด็ก จะมีช่องพิเศษให้เข้าเลย ดังนั้นหากเพื่อน ๆ เดินทางเป็นครอบครัว พอไปถึงให้มองไปทางช่องซ้าย ๆ จะมีป้ายบอกว่าเป็นช่อง เด็ก สตรีมีครรภ์ และ คนชรา (นั่งรถเข็น)
การเดินทางจากสนามบินที่เร็วที่สุดเป็นรถไฟ โดยผมนั่งรถไฟชุดบนสุด Access limited Express ไปลงสถานี Simbashi ราคาคนละ 1,280 เยน ใช้เวลา 68 นาที
แต่…..มันไม่ถึงนะครับ น้องพนักงานหน้าสวยก็พูดปะกิตไม่แข็งแรง แต่ยังไงต่อ…..อ่านไปเรื่อย ๆ ครับ
จริง ๆ แล้วจากสนามบินไปโรงแรมง่ายที่สุดเป็น Shuttle Bus หรือ Limousine Bus น่าเสียดายที่เค้าเปิดบริการ 8 โมงเช้า ตอนนั้นเพิ่ง 7 โมง 20 นาทีเอง ไม่มีตัวเลือก รถไฟก็ได้ (วะ)
เอาหล่ะ ผม ภรรยา + ลูก 7 ขวบคนนึง และ เกือบ 3 เดือนคนนึงพร้อมรถเข็น กระเป๋าเดินทางใบยักษ์อีก 2 ใบ ต้องขนขึ้นรถไฟเนี่ยนะ….ทำไงดีหล่ะ?
ไม่ต้องห่วงครับ เดินไปสุดทางขวา (หันหน้าเข้าเคาเตอร์ขายตั๋วรถไฟ) จะเห็นมีบริการส่งกระเป๋าไปโรงแรมให้
เห็นมี 3 เจ้า 2 เจ้าไม่รู้จัก แต่ JAL ABC อ่านรีวิวเพื่อน ๆ ท่านอื่นคุ้นอยู่ เลยตัดสินใจเอาบริการของบริษัทนี้ อารมณ์เหมือนส่ง EMS เลยครับ โดยผมส่งตอน 7.30 น. กระเป๋าจะไปถึงโรงแรมระหว่างเวลา 15.00 – 21.00 น.
ให้ย้ำบอกพนักงาน (ที่พูดอังกฤษไม่ค่อยได้) ว่า “ไอ ว้อน ทูเดย์” เพราะมันมีแบบส่งถึงพรุ่งนี้ด้วยนะเออ อย่าพลาดหล่ะ
พอจ่ายเงิน และ ทำเอกสารแล้วก็จะเอาป้ายมาห้อยแบบนี้ และมีสำเนาให้เราเก็บไว้ 1 ใบ….ขนาด และ การเขียนต่าง ๆ เหมือน EMS บ้านเราเป๊ะ
ส่งกระเป๋าแล้วก็ตัวปลิว มุ่งหน้าสู่โรงแรมด้วยรถไฟ ที่เดินไปก็โชว์ตั๋วให้พนักงานตามทางเดิน แล้วถามว่า Platform (แพลทฟอร์ม) อยู่ไหน เค้าก็จะชี้ให้เราไปขึ้นรถไปที่ชานชลาไหน
นั่งมาเรื่อย ๆ ตามเวลาในตารางที่เห็นมาลงสถานี Shimbashi ซึ่งคงต้องมาอีกหลายเที่ยวหากจะข้ามจาก โอไดบะ มาเที่ยวชินจูกุ ชิบูยะ หรือ อากิฮาบาระ
จริง ๆ แล้วหากเพื่อน ๆ มากับเด็กโต หรือ มีพลังงานเหลือเฟือ สามารถเริ่มเที่ยวกันได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาไปเช็คอินที่โรงแรมทั้ง ๆ ที่ไม่มีกระเป๋าเดินทางสักใบ จะไปเที่ยวไหน ก็ลุยกันแต่เช้าได้เลย เพราะตอนนี้มันเพิ่ง 9 โมงเช้าเอง เรียกว่าเที่ยวได้เต็มวัน บ่าย ๆ เย็น ๆ ค่อยไปเช็คอิน และ รับกระเป๋าที่ส่งมาพอดี
หน้าตา และ สภาพรถไปที่ต้องนั่งจากสถานี แรก ๆ ก็สบาย ๆ พอเริ่มเข้าเมืองหน่อย คนเพียบครับ พอดีมาช่วงเช้าคนเดินทางไปทำงานพอดี
หากเดินทางเป็นครอบครัว มีเด็กเล็ก หรือ มีผู้สูงอายุ เค้ามีที่นั่งสำรองพิเศษไว้ให้ด้วย ซึ่งปกติก็มีคนนั่งกันเต็ม แต่พอถ้ามีคนที่ต้องได้รับสิทธิ์ขึ้นมาเค้าก็จะลุกให้นั่ง แถมคนที่ลุกให้นั่งก็จะเป็นผู้ใหญ่หน่อย เด็กวัยรุ่น หรือ คนทำงานอายุประมาณไม่เกิน 30 ก็จะทำเป็นมองไม่เห็นเหมือนบ้านเรา
ตั๋วที่เราซื้อมา สุดที่ Shimbashi แต่ตอนที่ซื้อตั๋วคุยกับคนขายไม่รู้เรื่อง มาถึงก็เลยมึน ๆ ไปต่อไม่เป็น กลัวลูกเหนื่อย (จริง ๆ เค้าง่วง และ หิวแล้ว) เลยเรียกแท๊กซี่มุ่งตรงสู่โรงแรมเลย ค่าแท๊กซี่ประมาณ 3,000 เยน (หรือ 900 บาท) รับได้นะครับ
แต่สำหรับคนที่สะดวกนั่งรถไฟ จาก Shimbashi ก็ไปต่อไม่ยากแล้ว ผมเพิ่งมารู้อีกทีตอนนั่งรถไฟจากโรงแรมจะเข้าเมือง เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง
พอลงสถานี Shimbashi แล้วมองหาป้าย หรือ ตามเสาตามรูปด้านบน หาทางไป Yurikamome Line ซึ่งคือรถไฟโมโนเรล ตรงสู่โอไดบะ
โดยสถานนีรถไฟสาย Yurikamome นั้นอยู่นอกสถานีหลักของ Shimbashi นะครับ แต่เดินออกมาจากสถานีแล้วก็จะเจอเลย อารมณ์เหมือนออกจาก MRT ไปต่อ BTS ของสถานีอโศกเลยครับ
นั่งไปประมาณ 4 – 5 ป้ายก็ถึงสถานี Daiba จุดหมายปลายทาง ค่ารถไฟคนนึง 310 เยน และ รถไฟสายนี้เป็นโมโนเรล ตอนนั่งเลยเห็นวิวรอบเมือง แถมต้องวิ่งข้ามสะพาน Rainbow Bridge ด้วย นั่งชมวิวไปเพลิน ๆ ไม่เกิน 10 นาทีก็ถึง
พอออกจากสถานีก็จะเห็นป้ายบอกเลยว่าไปโรงแรมอะไร ห้างอะไร ทางไหน หากลูกนั่งรถเข็น มองหาลิฟท์จากชานชลา ลงมาทางออกได้เลยไม่ต้องห่วง
โรงแรม Grand Pacific Le Daiba อยู่ติดสถานีเลย อารมณ์เหมือนลงรถ BTS สยาม แล้วเดินบน skywalk ไป สยามดิส แค่นั้นเอง สะดวกโคตร ๆ ครับพี่น้อง
ที่นี่น่ารักมาก ๆ โดยปกติโรงแรมใน ญี่ปุ่น มักจะให้เช็คอินประมาณ 12.00 – 15.00 น. แต่วันนั้นไปถึงโรงแรมตั้งแต่ 10 โมงเช้า เค้าเห็นมีเด็กอ่อน เลยจัดการเช็คอินให้ทันที
ตอนเช็คอินก็บอกเค้าว่าเราส่งกระเป๋าโดยบริการของ JAL ABC เพื่อให้พนักงานคอยดูให้ หากกระเป๋ามาจะแจ้งขึ้นไปที่ห้องของเราทันที….บริการดีมากขอบอก
ผมนอนที่นี่ 5 คืน ตอนแรกเช็คที่ booking.com ได้ราคา 131,000 เยน แต่ภรรยาเลือกจองตรงกับเวปของโรงแรม กับโปรโมชั่นใช้บัตร Visa นอน 5 คืน รวมอาหารเช้าราคา 141,000 เยน ตอนเช้าหากินง่านดีกับบุฟเฟ่ต์ของโรงแรม ตกวันละ 2,000 เยน หรือ 660 บาท (กินได้ 2 คน)
ปราดแรกที่เข้ามาในห้องพัก ทุกคนร้อง ว้าววววว กันหมดเลย ห้องสวยมากกกก และ ใหญ่กว่ามาตรฐานโรงแรมในเมืองของ ญี่ปุ่น ที่ปกติจะเล็ก ๆ แคบ ๆ แต่นี่ อูวววววส์ มีโคมระย้าด้วยนะ
เลือกจองห้อง Twin Bed และ เตียงที่เห็นใหญ่พอสมควร นอนกันได้ 2 คนโดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเตียงเสริม นอนสบายมาก ๆ
พอเค้าเห็นว่ามีเด็ก ไม่ต้องขอเลย เค้าจ้ดที่กันตกมาให้เสร็จ 2 อัน กันซ้าย – ขวา ตามใจเราเลย สุดยอดมาก ๆ
ไม่เพียงเท่านั้น พอเค้าเห็นลูกชายวัย 7 ขวบของผมปุ๊ป ทุกวันห้องเราจะได้รับชุดที่เห็นด้านบนนี้ มีชุดนอน รองเท้าใส่ในห้องขนาดเด็ก และ ชุดแปรงสีฟันเด็กมาให้ ไม่ว่าจะใช้ หรือ ไม่ใช้ ทุกวันจะได้ 1 สุดเสมอ
ไอ้กระดาษที่แนบมาด้วยอ่านไม่ออก ใครอ่านออกแปลให้ด้วยนะจ๊ะ
มีกาแฟ ชา และ ถังน้ำแข็งบริการพร้อม…..ฟรี
ห้องน้ำหรู ๆ ที่หากนอนใน ชินจูกุ คงจะไม่มีโอกาสได้เห็น หรือ ราคาคงเกินหมื่นต่อคืนแน่ ๆ
มีอ่างอาบน้ำด้วยนะ อย่างหรูขอบอกว่าจ่ายไปคืนละ 9,300 บาท รวมอาหารเช้านี้ รู้สึกเลยว่าไม่แพง เพราะผมนอนกันหลายคน โดยเฉพาะในญี่ปุ่น โรงแรมส่วนใหญ่หากเด็กอายุเกิน 6 ขวบจะนับเป็นผู้ใหญ่นะครับ ต้องซื้อเตียงเสริม หรือ ต้องจองห้อง Triple แต่ที่นี่ไม่ได้ว่าอะไร
นั่งเล่นในห้องได้แป๊ปนึง พนักงานมากดกริ๊งประตูพร้อมยื่นแท่นยืนสำหรับให้เด็กยืนแปรงฟันมาให้ด้วย….ไม่ได้ขอนะอันนี้ เพราะปกติไม่เคยคิดว่าโรงแรมที่ไหนเค้าจะมีบริการนี้ แต่ทีนี้มีให้ครับ สุดยอดมากกกกกกก
ใครคิดจะเดินทางเป็นครอบครัวเหมือนผม โรงแรมนี้เหมาะจริง ๆ #familytrip
ห้องพักอยู่ชั้น 6 ของโรงแรม เปิดหน้าต่างออกมาได้วิวอย่างที่เห็น…..สวยมั๊ย
ทางด้านขวาจะเห็นแท่ง ๆ เหมือนตึก นั่นเป็นทางลงอุโมงเข้าเมืองโตเกียว
เปิดมือถือพยายามหาไวไฟแต่ไม่เจอ มองซ้ายมองขวาเห็นแต่สาย LAN สำหรับต่อกับคอม เลยโทรลงไปถามเค้าว่ามี Wifi มั๊ย
ไม่เกิน 5 นาทีพนักงานเอา wifi router มาให้ พร้อมคู่มือการติดตั้ง ซึ่งเพียงเสียบปลั๊ก แล้วเสียบสาย LAN เข้าไปเท่านั้น แต่ปราดแรกที่รับมา….งง เป็นไก่ตาแตก แถมขำด้วยว่า เออ เค้าจัดหนักมาให้เลยนะเนี่ย
หากเป็นสาวกกันดั้ม โรงแรมนี้เค้ามีห้อง Project Room-G ที่ตบแต่งตามสไตล์ กันดั้ม (Gundam) ไว้คอยบริการด้วยนะครับ
วันแรกของการเดินทางนี้ผมกับลูกชายก็จัดหนักเลย เริ่มจากทิ้งภรรยา และ ลูกสาวนอนพักผ่อนในโรงแรม แล้วพากันไปลุย Toy R Us ต่อด้วย Legoland แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ไว้มาเล่าต่อกันวันหลัง
ตอนนี้มาดูกันก่อนว่าทำไมผม ผมจั่วหัวโพสไว้ว่า “พักที่โอไดบะมันฟินมาก”
เพราะว่า……ที่นี่มันมีให้ครบทุกอย่างที่ต้องการสำหรับการพาครอบครัวมาเที่ยวหน่ะสิ
ไม่ว่าโรงแรม Grand Pacific Le Daiba ที่ห้องกว้างขวาง เอาใจใส่ครอบครัวที่มีเด็กได้ดี เดินทางไปไหนก็สะดวก มีร้านสะดวกซื้อเดิน 1 นาทีถึง แถมมีสวนสาธารณะ มีห้าง มีแหล่งของเด็ก และ ของผู้ใหญ่พร้อม มาดูกันเลย
เดินออกจาก ล็อบบี้ โรงแรมเลี้ยวขวาไป 20 เมตร ก็จะเจอร้านสะดวกซื้อที่มีทุกอย่างพร้อม
เครื่องดื่มเอย นมเอย ขนมเอย เพียบจนตาลาย
ของกินก็มีนะ ซื้อแล้วให้เค้าเวฟได้ทันที ผมให้เค้าอุ่นแล้วเอากลับไปกินในห้องของโรงแรม สะดวก สบาย ประหยัด
ที่ว่าเหมาะกับการท่องเที่ยวแบบครอบครัวนั้น เพราะมันสะดวกมาก ๆ ไม่เชื่อดูแผนที่ด้านบนสิ เดิน 7 นาทีถึง Toy R Us, 10 นาทีถึง Legoland 10 นาทีถึง Kiddy Land แถมไม่ไกลจาก Disneyland และ Disney Sea อีกต่างหาก นี่มันสวรรค์ชัด ๆ
โรงแรมเค้ามีบริการรถบัสรับ – ส่ง จากโรงแรมไป Disneyland หรือ Disney Sea ด้วยนะ แต่ราคาเท่าไหร่ไม่รู้เหมือนกันเพราะผมนั่งแท๊กซี่ แหะ แหะ แหะ
อยากไปเดินซื้อของที่ Toy R Us สามารถเช็คบทความของผมได้
– พาเที่ยว และ อัพเดทราคาของเด็กอ่อนที่ Toy R Us / Babies R us ญี่ปุ่น 3 สิงหาคม 2556
– อัพเดทราคาของเล่นที่ญี่ปุ่น 2 สิงหาคม 2556 ที่ Toy R Us และ Yodobashi (Lego, DX Masked Rider)
จะไปเที่ยว Legoland อยากรู้ไปยังไง มีอะไรด้านในบ้าง อ่านโพส
– xenon_art พาเที่ยว Legoland Tokyo โลกแห่งจินตนาการ และ สร้างสรรสำหรับทุกคน โอไดบะ ญี่ปุ่น
ไม่เพียงแต่ได้มาชมหุ่นขึ้ผึ้ง มาดาททรูโซ กับ เที่ยว เลโก้แลนด์ เท่านั้นที่ Island Mall / Decks นี้ยังมีงานวัดญี่ปุ่นโบราณจำลองมาตั้งอยู่ด้วย เดินเล่นกันหมดวันเพลิน ๆ ไม่รู้ตัว
นอกจากนั้นยังมี Diver City Tokyo แหล่งช็อปปิ้งเจ๋ง ๆ เดินจากโรงแรมไม่เกิน 7 นาที
หรือ จะไป Disneyland ก็สบาย ๆ เพราะโรงแรมมีรถรับ – ส่ง (เสียเงิน) แต่ต้องจองล่วงหน้าเพราะเต็มตลอดดดดด เลยช่างมันฉันนั่งแท๊กซี่ก็ได้ ถ้าจำไม่ผิดผมจ่ายไม่เกิน 4,000 เยน (แท๊กซี่ที่นี่ทุกคันรูดบัตรเครดิตได้นะ)
ครั้นจะเข้าเมืองไปไหว้พระที่ อาซากุสะ หรือ เดินเล่นชินจูกุ ดูของเล่น เครือ่งไฟฟ้าที่ อากิฮาบาระ ก็สบาย ๆ กับการนั่งรถไฟสาย Yurikamome ไปลงสถานี Shimbashi แล้วซื้อตั๋ว JR Yamanote ไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ หรือ จะนั่ง JR สายอื่น ๆ ก็ได้ตามแต่ถนัด
ประวัติคร่าว ๆ ของเมืองนี้ที่ฟังจากพี่ชายมาคือเค้าเอาขยะมาถมทะเลเพื่อสร้างพื้นที่ให้กับเมืองใหญ่อย่างโตเกียวมากขึ้น โดยแรก ๆ โอไดบะ นี้ไม่มีอะไรมากเป็นเขตที่อยู่อาศัย มีรถไฟโมโนเรล วิ่งรอบ ๆ เมื่องเพื่อรับคนเข้าไปฝั่งโตเกียวเพื่อทำงานกัน
จากนั้นสถานีโทรทัศฟูจิ ก็มาตั้งอยู่ที่นี่ จากนั้นเขตโอไดบะก็พัฒนาขึ้นเรื่อยมาจนปัจจุบันมีห้างสรรพสินค้า กันดั้มขนาดยักษ์ตั้งกลางสวน จากที่ผมเห็นมาเมืองนี้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวไปเรียบร้อยแล้ว แถมเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ แต่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนญี่ปุ่นเอง ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงปิดเทอม สวนสาธารณะก็จะมีจัดสวนสนุกด้วย เลยเห็นแต่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นหอบลูกจูงหลานมาเที่ยวกันเป็นกรุ๊ป ๆ น่ารักดี ทำให้รู้ว่า อืม…เราพาครอบครัวมาถูกที่แล้วหล่ะ
และ ด้วยการที่เป็นเมืองท่องเที่ยวของคนที่นี่ เราจึงจะได้รับวัฒนธรรมของคนเค้าเต็มที่ เห็นความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่นจริง ๆ ไม่ใช่เดินไปไหนก็เจอแต่คนไทย หรือ ฝรั่งนักท่องเที่ยว เหมือนนอนที่ชินจูกุ
สรุปว่าทริป 6 วันของผม วนเวียนอยู่ใน โอไอบะ ซะเป็นส่วนมาก รู้สีกสะดวก มีทุกอย่างที่เด็ก ๆ ต้องการ ร้านอาหารอร่อย ๆ เพียบ แถมยังได้สัมผัสอะไรที่นอกเหนือจากการไปเดินในเมืองโตเกียว เที่ยวตามห้างมาตรฐานในเมืองเยอะเลย
บันทึกท่องเที่ยว : เที่ยวโตเกียวฉบับครอบครัว ตอนแรกนี้ก็ขอจบไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ ไว้ว่าง ๆ จะมาอัพเดทเรื่องอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกิน เรื่องเที่ยวเมื่อพาครอบครัวไปนอนที่ โอไดบะ
ขอให้มีความสุขทุกคนครับ
_________________________________________________________________
หากเพื่อน ๆ ชอบเรื่องกิน เที่ยว และ รีวิวของผมที่ตรงไปตรงมา ไม่มีอวย ฝากเพื่อน ๆ กด LIKE Facebook Fanpage ของผมเพื่อเป็นกำลังใจด้วยนะครับ
[…] […]
สวัสดีค่ะ กำลังจะไปญี่ปุ่นมีนาฯปีหน้า รบกวนถามนิดนะค่ะ
โรงแรมนี้กับ Tokyo Diver City พอจะเดินถึงกันได้ไหมค่ะ ดึกๆเดินกลังโรงแรมจะเปลี่ยวไหมค่ะ
เออ แล้วเวลาเข้าเมืองไป ชินจุกุ กินซ่า ชิบุย่า ยากไหมค่ะ
รบกวนแนะนำด้วยค่ะ
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
ใกล้มาก ๆ ครับ มี skywalk เชื่อมถึงกันระยะสัก 200 เมตร ไม่น่ากลัว เข้าเมืองง่าย ๆ ตามวิธีที่รีวิวไว้เลยครับ
กำลังแพลนเที่ยวโตเกียวเลยค่ะ ลงสนามบินนาริตะ เห็นรีวิวบล๊อคเกอร์แล้วว่าจะพักที่นี่เลยค่ะ ไปผู้หญิง2คน ที่พักไม่เปลี่ยว ไม่น่ากลัวใช่มั้ยคะ เดินทางเที่ยวสะดวกรึป่าว ขอบคุณมากค่า
ไม่น่ากลัวเลยครับ สบายมาก ๆ
เพิ่มเติม : เดินทางไปชินจูกุสะดวกครับทต่อรถไฟไม่เยอะ ฝช้เวลารวม 30 นาทีถึง แค่แถวโรงแรงมีที่ช๊อปเยอะนะ
ขอบคุณครับ
มีนานี้จะตามรอบไปครับ 🙂
เพิ่งกลับมาได้อาทิตย์นึง
ทำเลที่พัก และโรงแรมเยี่ยมมาก
แต่ไม่ได้เที่ยวใกล้ๆ ละแวกนั้นเท่าไหร่เสียดายอยู่เหมือนกันครับ
ไม่เป็นไรคราวหน้าเอาใหม่ 555